Posted on

อะมา (AMA) กาแฟออร์แกนิค อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนรักสุขภาพ


หลายๆ คนคงจะคุ้นเคยกับคำว่า “ออร์แกนิค” กันดียิ่งในปัจจุบันนี้ที่เทรนด์การรักสุขภาพและการดูแลตัวเองกำลังเป็นที่นิยมในวงกว้าง ทุกคนต่างใส่ใจกับการออกกำลังกายและการเลือกรับประทานอาหารมากขึ้น ทำให้มีทั้งอาหารและพืชออร์แกนิคมากมายออกสู่ท้องตลาด แน่นอนว่าก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าผักออร์แกนิคคืออะไร แตกต่างจากผักปลอดสารพิษหรือเปล่า?ทานแล้วจะให้สารอาหารเหมือนผักปกติทั่วไปมั้ย? หรือจะหาทานยากหรือเปล่า? วันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณแล้ว!

ออร์แกนิคคืออะไร?
ออร์แกนิค (Organic) หรือที่อีกชื่อนึงเรียกว่า เกษตรอินทรีย์ เป็นวิธีการปลูกพืชหรือผลิตภัณฑ์ที่ปลอดสารเคมีทุกอย่างโดยจะไม่มีการดัดแปลงใดๆ เลย ไม่มีการใส่ปุ๋ยเคมี ฮอร์โมนเร่งการปลูก หรือสารกำจัดแมลงทุกชนิดซึ่งทำให้พืชออร์แกนิคนั้นมีความปลอดภัยสูงมาก ไม่มีสารตกค้างหรือสารพิษที่จะสามารถก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายเราได้และในระบบการผลิตยังมีความปลอดภัยต่อดิน น้ำ และอากาศด้วยนะ

เรียกได้ว่าเป็นมิตรกับทุกสิ่งรอบตัวจริงๆส่วนผักปลอดสารพิษนั้น ความจริงแล้วก็ยังมีการใช้สารเคมีในกระบวนการปลูกอยู่ เช่น ปุ๋ยเคมี หรือฮอร์โมนในการปลูกแต่จะไม่มีการใช้สารกำจัดแมลง และจะมีการตรวจสอบสารตกค้างของผลผลิตว่าต้องไม่สูงเกินมาตรฐานที่สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติกำหนดไว้ ถ้าให้เปรียบเทียบกันแล้วพืชผักออร์แกนิคจึงมีความปลอดภัยมากกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีราคาที่สูงกว่าปกติ เพราะใช้วิธีปลูกแบบธรรมชาติใช้เวลานาน มีต้นทุนการผลิตที่สูง และต้องคอยดูแลเป็นพิเศษนั่นเองประโยชน์ของพืชออร์แกนิคแน่นอนว่าเมื่อราคาสูงสิ่งที่ได้รับก็ย่อมสูงตามไปด้วย

พืชผักออร์แกนิคนั้นมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคสูงมากเพราะไม่มีสารเคมีตกค้างในร่างกายซึ่งสารเคมีหรือสารตกค้างในพืชผักนั้น มีทั้งสารก่อมะเร็ง สารที่เป็นอันตรายต่อเด็กในท้องของคุณแม่ ยาฆ่าแมลงที่ทำให้ฮอร์โมนผิดปกติ และอีกสารพัดความอันตราย นอกไปจากเรื่องโรคแล้วอีกสิ่งที่สำคัญคือพืชออร์แกนิคจะมีสารอาหารต่างๆ เช่น วิตามิน เกลือแร่และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณค่ามากกว่าผักปกติทั่วไป แถมรสชาติก็ยังดีกว่าอีกด้วยนะ!

อะมา (AMA) แบรนด์กาแฟคุณภาพที่ใช้วิธีการปลูกแบบออร์แกนิค
สำหรับใครที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ และกำลังสงสัยว่ามีกาแฟออร์แกนิคหรือเปล่าต้องขอบอกก่อนเลยว่าในปัจจุบันนี้มีการผลิตกาแฟออร์แกนิคออกสู่ตลาดแล้ว แต่ยังเป็นจำนวนที่น้อยอยู่เพราะการปลูกกาแฟทั่วๆ ไป ยังคงมีการใช้สารเคมีหรือปุ๋ยเคมีเพื่อเร่งระยะเวลาการผลิตเหมือนกับพืชอื่นๆเพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟปริมาณมากในระยะเวลาที่ไม่นานนัก

แต่สำหรับ อะมา (AMA) เราเป็นกาแฟอาราบิก้าแท้ 100%ที่มีวิธีการปลูกแบบออร์แกนิค ซึ่งใส่ใจในทุกขั้นตอนการปลูกจากแหล่งธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ ปลูกบนยอดเขาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 1,280 เมตร และไร้การรบกวนจากภายนอก
ทำให้เมล็ดกาแฟที่ได้มีรสชาตินุ่มนวลกลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบดื่มกาแฟและอยากหันมาดูแลตัวเองและสุขภาพ นี่เป็นกาแฟออร์แกนิคที่ตอบโจทย์คุณได้แน่นอน รับรองว่าคุณจะได้ดื่มกาแฟที่ทั้งรสชาติดีและปลอดภัยต่อร่างกายเลยล่ะ!

Posted on

อะมา (AMA) แบรนด์กาแฟคุณภาพสูง ที่ทำให้คุณได้รักษ์โลกและให้โอกาสชุมชน

ในโลกยุคปัจจุบันนี้ที่มองไปทางไหนก็อดไม่ได้ที่จะต้องเจอกับมลพิษ ฝุ่นควัน ขยะไปจนถึงปัญหาขนาดใหญ่ที่ทั้งโลกจับตามอง นั่นก็คือเรื่องของ “ภาวะโลกร้อน” ทำให้หลายๆคนเกิดการตื่นตัวและหันมาใส่ใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งการงดใช้ถุงพลาสติกแล้วหันมาใช้ถุงผ้าแทน

การใช้กล่องข้าวที่ไม่ได้ทำมาจากโฟม การแยกขยะเพื่อให้ง่ายต่อการทำลายและรีไซเคิล เรียกได้ว่าทุกคนพยายามที่จะรักษาสิ่งแวดล้อมและโลกในทุกๆ ขั้นตอนการใช้ชีวิตและมันคงจะดีที่การดื่มกาแฟสดจากเมล็ดกาแฟอาราบิก้าแท้คุณภาพสูง จะช่วยทำให้คุณได้รักษ์โลกไปพร้อมๆกับการให้โอกาสชุมชน รักษ์โลก รักสิ่งแวดล้อม ด้วยการปลูกแบบออร์แกนิค

การปลูกพืชแบบออร์แกนิคเป็นวิธีการปลูกพืชที่ปราศจากสารเคมีทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการดัดแปลงใดๆ การใส่ปุ๋ยเคมีฮอร์โมนเร่งการปลูก หรือสารกำจัดแมลงทุกชนิด ซึ่งนั่นทำให้พืชหรือผลผลิตที่ได้รับมีความปลอดภัยต่อร่างกายของเรามากๆ ไม่มีเรื่องของสารตกค้างให้เรากังวลใจเลยล่ะ และในแง่ของสิ่งแวดล้อม สิ่งต่างๆ ที่ได้กล่าวมาทั้งสารเคมี ปุ๋ยเคมีหรือสารกำจัดแมลง ก็ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งดินที่อาจจะมีสารปนเปื้อน สัตว์ต่างๆ ที่อาจจะได้รับสารตกค้าง

ดังนั้นเราจึงเลือกวิธีการปลูกกาแฟแบบออร์แกนิคที่ให้รสชาติที่ดีขึ้นของเมล็ดกาแฟปลูกด้วยความพิถีพิถันในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ เลือกใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่จะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเน้นการใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้หรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ให้คุณมั่นใจได้ว่าการปลูกกาแฟอาราบิก้าของเราจะไม่ทำลายดิน พืช สัตว์ อากาศ น้ำ และผู้คนในบริเวณนั้นๆ เพิ่มพื้นที่สีเขียวในประเทศไทย

แต่เดิมนั้นพื้นที่สูงๆ ในเขตภาคเหนือของไทย หรือตามบริเวณภูเขาจะเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขาซึ่งพวกเค้าเหล่านี้ก็จะมีอาชีพปลูกฝิ่นเพราะอยู่ในพื้นที่สูง และทำไร่เลื่อนลอยเพื่อยังชีพแต่ทว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นคือเมื่อมีการปลูกพืชที่ไม่ถูกกับดินนั้น ก็คือทำให้เกิดการทำลายหน้าดิน ดินไม่อุดมสมบูรณ์จนไม่สามารถปลูกพืชอะไรขึ้นอีก ชาวเขาทั้งหลายจึงต้องย้ายเปลี่ยนพื้นที่ในการทำไร่และปลูกพืชต่างๆจึงเกิดการเผาป่าและตัดต้นไม้ไปเรื่อยๆ เพื่อหาพื้นที่ว่าง

ในที่สุดภูเขาทั้งลูกก็กลายเป็นภูเขาหัวโล้นแต่การเข้ามาของต้นกาแฟได้ทำให้ชาวเขาเหล่านี้ไม่ต้องปลูกฝิ่นหรือทำไร่เลื่อนลอยอีกต่อไป พวกเค้าช่วยกันปลูกต้นกาแฟเลิกทำไร่เลื่อนลอย จนเกิดการฟื้นฟูป่า และไม่มีการตัดต้นไม้ เผา หรือถางป่าอีกต่อไปสร้างอาชีพแก่ชุมชนเขาปางขอน จากที่เคยมีปัญหามากมายทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ป่าไม้โดนทำลายชาวอาข่าต่างปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอยเพื่อยังชีพ รวมไปถึงปัญหาทางสังคมอย่างเรื่องของยาเสพติดในปัจจุบันนี้นั้นได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ด้วยการให้ความช่วยเหลือจากโครงการรัฐวิสาหกิจชุมชนบ้านปางขอนที่นำกาแฟพันธ์อาราบิก้าแท้มาให้ชาวบ้านในชุมชนปลูก จนกลายเป็นการสร้างอาชีพที่ยั่งยืน ผลิตผลมีคุณภาพสูงทำให้พวกเค้าสามารถทำเงินได้ในราคาที่ดี และยังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม

คุณเองก็สามารถสร้างโอกาสให้แก่ชาวอาข่าได้ ด้วยการสนับสนุนกาแฟ อะมา (AMA)เมล็ดกาแฟสดคุณภาพดีจากยอดเขาสู่มือคุณ

Posted on

อยากได้รสชาติกาแฟที่ดีที่สุด ต้องบดกาแฟแบบไหนดี?

การบดกาแฟ เป็นอีกเรื่องที่นักชงกาแฟมือใหม่หลายๆคนอาจจะยังสงสัยในเรื่องของเทคนิคต่างๆ อยู่ อย่างเช่นว่าเราควรจะบดกาแฟแบบไหนถึงจะดีที่สุด?
ทำไมบางครั้งเลือกใช้เมล็ดกาแฟคุณภาพดีมากๆแต่ก็ยังชงออกมาไม่อร่อยเหมือนที่คนอื่นทำ?หรืออาจจะตั้งคำถามในใจว่าการบดกาแฟต้องมีเทคนิคอะไรด้วยเหรอ?
ไม่ใช่ว่าบดๆ ไปก็ออกมาเหมือนกันงั้นเหรอเนี่ย!

ซึ่งบทความนี้เราจะพาเพื่อนๆนักชงมือใหม่หรือคนที่สนใจอยากจะลองชงกาแฟสดดื่มเองที่บ้านไปดูกันว่าการบดกาแฟแบบไหนจะใช่ที่สุด!

ทำไมการบดกาแฟถึงสำคัญ?

ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ สำหรับบางคนนะคะ แต่ในความจริงแล้วนั้นการบดกาแฟเป็นตัวแปรสำคัญเลยล่ะที่จะกำหนดทิศทางรสชาติและกลิ่นของกาแฟ ยกตัวอย่างเช่น กาแฟที่ถูกบดละเอียดจะช่วยให้สามารถสกัดรสชาติได้มากยิ่งขึ้นในขณะที่การบดกาแฟแบบหยาบๆ จะทำให้ต้องใช้เวลาสกัดรสชาติออกมานานขึ้นกว่าเดิมและต่อให้เราจะมีเมล็ดกาแฟที่ดีแค่ไหนแต่ถ้าบดผิดวิธีก็อาจจะทำให้ออกมาไม่ดีได้ซึ่งการบดกาแฟที่ดีควรที่จะมีความสม่ำเสมอเท่าๆ กันด้วยนะ

การบดกาแฟแบ่งเป็นกี่ระดับ

โดยทั่วไปแล้วการบดกาแฟจะแบ่งได้ 4 ระดับตามนี้ค่ะแบบหยาบ (Coarse grind) : ลักษณะจะมีความเป็นก้อนอยู่บ้าง คล้ายๆกับดินปลูกต้นไม้
แบบปานกลาง (Medium grind) : มีขนาดเล็กลงมาจากแบบหยาบคล้ายกับทรายนั่นเอง
แบบละเอียด (Medium fine grind) : ลักษณะคือมีความละเอียดประมาณเกลือ
แบบละเอียดมาก (Fine grind) : มีความเล็กละเอียดกว่าน้ำตาลนิดหน่อย

แต่ก็ยังไม่ละเอียดเท่าแป้งการจับคู่ระดับการบดกาแฟกับเครื่องชงสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเสมอในการบดกาแฟ ก็คือต้องเลือกใช้ระดับการบดกาแฟให้เข้ากับรูปแบบการชงของเรานั่นเองเพราะเครื่องชงกาแฟแต่ละแบบก็จะมีวิธีการชงที่แตกต่างกันออกไปและแน่นอนว่าย่อมต้องการกาแฟที่มีระดับการบดต่างกันด้วย
แบบหยาบ : เหมาะกับการชงแบบ French Pressเพราะว่าจะต้องนำผงกาแฟมาแช่ในน้ำร้อนนานๆและไม่ควรใช้แบบละเอียดเกินไปที่จะทำให้ตะกอนหรือผงกาแฟลอดผ่านแผ่นกรอง นอกจากนี้ยังนิยมใช้กับการชงแบบสกัดเย็น (Cold Brew) เพราะต้องแช่น้ำนานการใช้แบบหยาบจะช่วยให้กาแฟไม่ขมมากเกินไปด้วย
แบบปานกลาง : เหมาะกับการชงแบบดริป (Pour Over or Filter Brewers)ที่จะใช้กระดาษกรอง และใช้น้ำร้อนเติมให้ซึมผ่านกาแฟ เพราะจะมีความพอดีที่สุดไม่หยาบไปจนน้ำซึมผ่านเร็ว หรือละเอียดไปจนทำให้น้ำซึมช้า
แบบละเอียด : เข้ากับการชงแบบ Moka Potที่ใช้แรงดันของความร้อนให้ระเหยผ่านกาแฟควรใช้แบบละเอียดเพราะจะช่วยให้กาแฟมีรสชาติเข้มข้นตามสไตล์ของเครื่องชงนี้
แบบละเอียดมาก : เหมาะกับเครื่องชง Espresso มากที่สุดเพราะเครื่องชงนี้จะมีแรงดันที่สูงมากและยังใช้เวลารวดเร็วจึงควรใช้กาแฟแบบละเอียดมากเพื่อให้เกิดการสกัดที่เข้มข้นที่สุดนั่นเอง

ทีนี้เมื่อเพื่อนๆสามารถเลือกระดับการบดกาแฟให้เข้ากับเครื่องชงและสไตล์ความชอบได้แล้ว
ก็อย่าลืมเลือกเมล็ดกาแฟคุณภาพดีจากบนดอย ณ บ้านปางขอนอย่าง กาแฟอะมา (AMA) กันด้วยนะคะ รับรองว่าเมื่อมีเมล็ดกาแฟดีๆ หอมๆบวกกับการชงอย่างถูกวิธี เพื่อนๆ จะต้องได้กาแฟแก้วโปรดที่วางไม่ลงแน่นอนค่ะ

Posted on

ทำความรู้จักกับเทศกาลโล้ชิงช้า เทศกาลแห่งความสุขของชาวอาข่า

ชนเผ่าอาข่า (Akha) เป็นอีกหนึ่งชาติพันธุ์ที่มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานถึง 2,700 ปีและมีประเพณีรวมถึงวัฒนธรรมมากมายสืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น อาชีพส่วนใหญ่ของชาวอาข่าก็จะเป็นการปลูกพืชไร่ เช่นข้าวโพด ข้าว พืชผักสวนครัว และกาแฟ

ดังนั้นประเพณีวัฒนธรรมหลายๆ อย่างก็จะเกี่ยวข้องกับการเกษตร สำหรับชาวอาข่า ณ บ้านปางขอน จังหวัดเชียงรายก็เป็นหนึ่งในชาวอาข่าที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเช่นกันและนอกจากจะเป็นแหล่งผลิตกาแฟอาราบิก้าแท้คุณภาพสูงแล้วนั้น

พวกเค้าก็ยังมีวัฒนธรรมและประเพณีที่น่าสนใจไม่แพ้กันซึ่งวันนี้เราจะขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเทศกาลโล้ชิงช้า เทศกาลแห่งความสุขของชาวอาข่ากัน!

เทศกาลโล้ชิงช้าคืออะไร

เทศกาลหรือประเพณีโล้ชิงช้า มีอีกชื่อนึงว่า “แย้ขู่อ่าเผ่ว” เป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองของชนเผ่าอาข่า (อีก้อ)ซึ่งมีความสำคัญเหมือนกับเป็นเทศกาลปีใหม่ของชาวอาข่าเลยทีเดียวโดยวัตถุประสงค์ของการจัดงานก็คือเพื่อเฉลิมฉลองหลังการเสร็จสิ้นฤดูกาลเพาะปลูกและพืชไร่พืชสวนที่ปลูกไว้นั้นมีผลผลิตพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวไว้บริโภคแล้ว

นอกจากนี้ยังเป็นพิธีที่รำลึกและบูชาถึงเทพธิดา“อึ่มซาแยะ” ซึ่งชาวอาข่าต่างนับถือเป็นเหมือนบรรพบุรุษของพวกเค้าและเป็นผู้ที่จะประทานความชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ให้กับข้าวและพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ปลูกรวมไปถึงการแสดงออกถึงการให้เกียรติสตรีทุกคนในชนเผ่าอีกด้วยช่วงเวลาที่จัดเทศกาลจะเป็นช่วงที่พืชไร่กำลังเจริญงอกงามพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว อยู่ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายนการแต่งกายในพิธี

ทุกๆ คนในงานจะแต่งกายด้วยชุดชนเผ่าอย่างเต็มยศ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมและเครื่องประดับต่างๆที่เตรียมเอาไว้ตลอดปีก็จะเอามาใส่ในงานนี้โดยเฉพาะเลยล่ะ และประเพณีนี้ยังมีความสำคัญต่อผู้หญิงทุกคนจึงมักจะแต่งตัวสวยงามที่สุดและใส่เครื่องหัวกันแบบจัดเต็มกิจกรรมทั้ง 4 วัน
โดยรวมแล้วจะเป็นการเฉลิมฉลอง เต้นรำ โล้ชิงช้า และร้องเพลงกันของคนในหมู่บ้าน โดยจะจัดงานทั้งหมด 4 วันเริ่มจากวันแรกจะให้ผู้หญิงเป็นคนไปตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ในหมู่บ้านเพื่อนำมาแช่ข้าวเหนียวที่ผสมงาดำสำหรับการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ

ในวันที่ 2จะเป็นหน้าที่ของพวกผู้ชายที่จะช่วยกันตัดไม้เพื่อมาทำชิงช้า และเมื่อทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในตอนค่ำๆก็จะมีการฉลองด้วยการเต้นรำอย่างสนุกสนานถึงเช้ามีการนำไม้ไผ่มาทำเป็นเครื่องดนตรีเพื่อสร้างเสียงประกอบจังหวะการเต้นเรียกว่า “ตุ๊บองฉ่อง”วันถัดมาจะเป็นวันของการโล้ชิงช้า ทุกคนทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะแต่งตัวสวยงามมาพบปะพูดคุยกันและผลัดกันดึงชิงช้าพร้อมร้องเพลงไปด้วย

ส่วนเด็กๆ ก็จะมีชิงช้าเด็กสำหรับเล่นอยู่ที่หน้าบ้านส่วนในตอนกลางคืนก็จะเต้นรำและมีการเล่นตุ๊บองฉ่องเหมือนวันที่ 2 สำหรับวันสุดท้ายทุกคนจะออกมาโล้ชิงช้าเพื่อเป็นสิริมงคลของตัวเองและครอบครัวรวมทั้งมีการผูกสายชิงช้าก่อนตะวันตกดิน ก็เป็นอันจบเทศกาลนี้อย่างสมบูรณ์
สำหรับใครที่สนใจอยากจะมาเที่ยวเชียงรายในช่วงเทศกาลโล้ชิงช้าก็ถือเป็นการท่องเที่ยวที่น่าสนใจและคงจะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับทุกคนได้อย่างดีเลยล่ะ และที่สำคัญอย่าลืมแวะชิมผลิตภัณฑ์จากชุมชนอาข่า ณ บ้านปางขอน จังหวัดเชียงรายอย่างกาแฟอาราบิก้าแท้ๆ 100% กาแฟคุณภาพอันดับหนึ่งของไทยกันนะคะ!

Posted on

ชวนมาเที่ยวชมดอกซากุระรับลมหนาว ณ บ้านปางขอน

ถ้าพูดเรื่องแหล่งท่องเที่ยวที่น่าไปเยือนในจังหวัดเชียงราย ก็คงจะต้องมีชื่อของ “บ้านปางขอน” ติดอยู่ในอันดับต้นๆ แน่นอนบ้านปางขอนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ตำบลห้วยชมภูในอำเภอเมืองของจังหวัดเชียงรายหลายๆ คนที่เป็นคอกาแฟคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดีเพราะที่นี่เป็นแหล่งผลิตกาแฟอาราบิก้าแท้ 100%

ที่มีชื่อเสียงมากๆต้นกาแฟหลายพันต้นถูกปลูกบนยอดเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 1,280 เมตรและมีรสชาติที่นุ่มนวลไม่เหมือนใครที่สำคัญไม่ใช่แค่โดดเด่นในเรื่องการผลิตกาแฟเท่านั้นนะ เพราะที่บ้านปางขอนยังมี“ดอกซากุระเมืองไทย” ให้เราได้ไปเที่ยวชมกันอีกด้วยชมดอกซากุระรับลมหนาวอย่างที่ได้บอกไปว่าบ้านปางขอนเป็นแหล่งปลูกกาแฟบนยอดเขาสูงกว่า 1,280

เมตร ซึ่งแน่นอนว่าที่นี่จะมีอากาศที่เย็นสบายอยู่ตลอดทั้งปี!เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของประเทศไทยที่มักจะมีอากาศร้อนอยู่เสมอเลยล่ะ ยิ่งเข้าสู่หน้าหนาว อากาศก็จะยิ่งหนาวเย็นสะใจ มีทะเลหมอกฟินๆให้เราได้ดูด้วยนะ และที่สำคัญในช่วงเดือนมกราคม

Pink Sakura flower blooming.

ที่นี่ก็จะมีดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือที่เรียกกันว่า ดอกซากุระเมืองไทยที่บานสะพรั่งเป็นสีชมพูสวยงามพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่เต็มดอยไปหมดยิ่งตรงบริเวณพื้นที่ “สถานีเกษตรที่สูงตามแนวพระราชดำริ บ้านปางขอน”ก็ยิ่งมีมากเป็นพิเศษเลยทีเดียว และสำหรับใครที่ชอบดูพันธุ์ไม้หายากที่บ้านปางขอนแห่งนี้ยังมี “ต้นชาพันปี” ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอยู่ด้วย!สามารถเดินทางไปชมความสวยงามและยิ่งใหญ่ของต้นชาพันปีนี้ได้ในทุกฤดูเลย
แต่ในช่วงหน้าฝนก็อาจจะต้องระวังกันให้มากขึ้นนะคะเพราะเมื่อถนนลื่นก็อาจจะทำให้เดินทางลำบากขึ้นกว่าฤดูอื่นๆ อยู่บ้าง

กิจกรรมการท่องเที่ยวจริงๆ แค่เราได้อยู่ในที่อากาศดีๆรายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันสวยงามก็ถือว่าคุ้มสุดๆ แล้วล่ะแต่ที่บ้านปางขอนยังมีกิจกรรมอีกมากมายให้เราได้ทำเลยนะไม่ว่าจะเป็นการชมดอกซากุระเมืองไทยอันสวยงาม ได้ถ่ายรูปสวยๆแบบไม่ต้องไปไกลถึงต่างประเทศ อากาศก็เย็นสบายตลอดปีสามารถกางเต๊นท์นอนแล้วตื่นแต่เช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกได้ด้วย นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกซื้อผักปลอดสารพิษสดๆ จากต้นมาทานกันได้เลยและที่ห้ามพลาดเลยเด็ดขาดเมื่อมาถึงบ้านปางขอนก็คือการชิมกาแฟอาราบิก้าที่ปลูกโดยชาวอาข่าหรือจะจิบชาดอกกาแฟก็ฟินไม่แพ้กัน

ส่วนใครที่อินกับกาแฟมากๆก็ยังจะได้ลองเก็บเมล็ดกาแฟด้วยตัวเอง
พร้อมเรียนรู้ตั้งแต่การผลิตเมล็ดกาแฟไปจนถึงการชงดื่มอีกต่างหากใครที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับพักผ่อนชิลๆ อยู่กับธรรมชาติ
ได้สูดอากาศบริสุทธิ์บนยอดดอยสูง ได้ไปเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้านหรืออยากจะเก็บภาพดอกไม้สวยๆที่บ้านปางขอนนี้ก็ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ
แถมยังอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 30-40 กม. เท่านั้น

ส่วนใครที่ยังหาเวลาว่างไปเที่ยวไม่ได้ เราก็ยังสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศบนยอดดอยและผ่อนคลายตัวเองด้วยการดื่มกาแฟนุ่มๆ กลมกล่อมจาก “อะมา”เมล็ดกาแฟคุณภาพดีจากยอดดอยที่จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติไม่แพ้การไปเที่ยวเลยล่ะค่ะ

Posted on

รวมเทคนิคการเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟที่มือใหม่ควรรู้!

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟในทุกๆ วัน ชอบค้นหาเมล็ดกาแฟดีๆ มาลองชิมเสมอ และในตอนนี้ก็กำลังเริ่มสนใจที่จะซื้อเครื่องชงกาแฟสักอันเอาไว้ชงกาแฟสดเองที่บ้าน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเลือกซื้อแบบไหนดี มีหลักการอะไรในการเลือกบ้าง?

และจะคุ้มค่ากับการจ่ายเงินหรือไม่ เอาเป็นว่าไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะว่าการเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด ถึงแม้ว่าเราจะเป็นมือใหม่ แต่ก็สามารถเลือกซื้อได้แน่นอน ลองไปดูกันเลยว่าการเลือกซื้อนั้นจะต้องดูจากอะไรกันบ้าง!

1.การใช้งาน

เริ่มที่ข้อแรกกันเลย ก่อนที่เราจะตัดสินใจเลือกประเภทหรือรุ่นของเครื่องชงกาแฟเราก็ควรจะถามตัวเองก่อนว่าเรามีจุดประสงค์ในการใช้งานยังไงบ้าง?
ถ้าหากเราต้องการซื้อเครื่องชงกาแฟเพื่อนำมาใช้ในธุรกิจ อย่างการเปิดร้านขายกาแฟแน่นอนว่าเครื่องที่เราต้องซื้อก็ควรจะมีขนาดที่ใหญ่และมีแรงดันเยอะๆ เช่น 19 บาร์ หรือควรจะชงได้ทีละหลายแก้ว เป็นต้นแต่ถ้าจุดประสงค์ของเราคือการชงกาแฟสดดื่มเองที่บ้าน อันนี้เราก็ควรเลือกซื้อเครื่องแบบขนาดเล็ก แรงดันไม่ต้องเยอะมากเน้นการใช้งานง่ายๆ ราคาก็จะได้ไม่สูงตามไปด้วยนั่นเอง

2.ฟังก์ชั่นการทำงาน

ต่อมาสิ่งที่ควรดูก็คือฟังก์ชั่นในการใช้งานของตัวเครื่อง อันนี้ก็จะขึ้นอยู่กับความถนัดและความชอบของเราเลยค่ะว่าเราอยากให้เครื่องชงกาแฟของเราทำอะไรได้บ้าง เช่น มีหัวชงหลายหัว เป็นเครื่องชงแบบ Manual ที่จะต้องตั้งค่าระดับน้ำเอง หรือว่าอยากได้แบบ Auto เหมาะกับมือใหม่ แค่กดปุ่มเดียวก็ทำงานให้เลย แบบนี้ก็จะสะดวกมากขึ้นค่ะ

3.วัสดุของเครื่อง

สำหรับวัสดุของเครื่องชงกาแฟก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามนะคะ เพราะว่ามันมีผลต่อราคาและความทนทานของตัวเครื่องถ้าหากเครื่องชงกาแฟทำมาจากวัสดุอย่างสเตนเลสก็จะสามารถทนต่อการกัดกร่อนจากแร่ธาตุในน้ำได้มากกว่าวัสดุอย่างทองแดงนั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของความหนาบางและการใช้พลาสติกเป็นส่วนประกอบในบางส่วนด้วย ซึ่งราคาก็แปรผันตามวัสดุเหล่านี้เนี่ยล่ะค่ะ

4.แบรนด์หรือประเทศที่ผลิต

ถ้าให้บอกแบรนด์ที่เป็นที่นิยม ก็มักจะหนีไม่พ้นพวกแบรนด์ดังๆ หรือเครื่องชงที่ผลิตในโซนประเทศยุโรปอย่างอิตาลี ฝรั่งเศส สเปน อเมริกา เยอรมัน และฮอลแลนด์ เพราะประเทศเหล่านี้จะมีมาตรฐานในการผลิตที่สูง สินค้ามีคุณภาพดีซึ่งแบรนด์ที่มีชื่อเสียงหลายๆ แบรนด์ก็มักจะมีราคาที่สูงตามไปด้วยเช่นกัน

5.บริการหลังการขาย

เหมือนกับการซื้อสินค้าอื่นๆ ทั่วไปนั่นแหละค่ะ การบริการหลังการขายถือเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากๆโดยเราควรเลือกซื้อจากตัวแทนจำหน่ายที่เชื่อถือได้ สินค้ามีการรับประกัน มีช่างซ่อม และมีอะไหล่สำรองเพราะเครื่องชงบางอันที่ผลิตจากต่างประเทศก็อาจจะหาอะไหล่ต่างๆ ได้ยากและใช้เวลาซ่อมนานดังนั้นหากร้านไหนมีช่างซ่อมคอยให้คำแนะนำหรือมีบริการไปซ่อมที่บ้านก็จะยิ่งดีเลยล่ะ นี่ก็เป็นเทคนิคเบื้องต้นที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟที่ดีและเหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละคนได้แล้วนะคะ และเมื่อทุกคนมีเครื่องชงกาแฟพร้อมแล้วก็ต้องเลือกใช้เมล็ดกาแฟพันธุ์แท้ที่มีคุณภาพดีเพื่อช่วยเสริมให้กาแฟที่เราชงออกมารสชาติอร่อยโดนใจกันด้วยนะ!

Posted on

คนรักสุขภาพต้องอ่าน! รวมสารพัดประโยชน์ของกาแฟสำหรับคนชอบออกกำลังกาย

แน่นอนว่าในทุกวันนี้มีคนจำนวนมากที่หันมาใส่ใจสุขภาพและการออกกำลังกายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เด็กมหาวิทยาลัยไปจนถึงวัยทำงาน ซึ่งหลายๆ คนอาจจะกำลังสงสัยว่าแล้วการดื่มกาแฟเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไง? ต้องบอกเลยว่าจริงๆ แล้วนั้น การดื่มกาแฟสามารถส่งเสริมให้การออกกำลังกายของเราดีขึ้นได้นะ! แต่จะมีประโยชน์หรือช่วยในเรื่องอะไรบ้างต้องไปดูกัน!

กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด

โดยปกติแล้วนั้นคาเฟอีนในกาแฟจะมีส่วนช่วยให้หัวใจของเราเต้นแรงขึ้น เลือดลมสูบฉีด และกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งก็ส่งผลทำให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย เพราะเมื่อร่างกายมีระบบการไหลเวียนเลือดที่ดี เราก็จะได้รับออกซิเจนเพิ่มขึ้น เป็นการส่งผลดีต่อการใช้กล้ามเนื้อของเรา

เพิ่มการเผาผลาญ

การดื่มกาแฟก่อนการออกกำลังกาย จะทำให้ร่างกายของเราเผาผลาญได้มากขึ้นกว่าปกติถึง 15% ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่ากาแฟไปกระตุ้นการเต้นของหัวใจ และทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้นอย่างที่ได้บอกไปในข้อที่แล้ว นอกจากนี้คาเฟอีนในกาแฟยังเป็นตัวช่วยเพิ่มพลังงานให้เราได้เอามาใช้มากขึ้น และโดยปกติที่การออกกำลังกายก็มักจะทำให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันอยู่แล้ว พอยิ่งมีกาแฟเป็นตัวเสริม ผลลัพธ์ของการออกกำลังกายก็เลยออกมาดียิ่งกว่าเดิมนั่นเอง!

ออกกำลังกายได้นานขึ้น

คล้ายๆ กับการที่เราดื่มกาแฟเพื่อให้ไม่ง่วงนอน รู้สึกสดชื่นและทำงานได้นานขึ้น สำหรับการออกกำลังกายเองก็เช่นกันค่ะ เมื่อเราได้รับคาเฟอีนแล้ว ก็จะส่งผลต่อระบบประสาทที่ทำให้เรารู้สึกมีสมาธิ มีความมุ่งมั่น และโฟกัสกับการออกกำลังกายได้ดีมากขึ้น แถมยังทำให้เราสามารถออกกำลังกายได้นานมากกว่าเดิม เกิดความรู้สึกเมื่อยล้าและเหนื่อยน้อยลง มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมากขึ้น เพราะกาแฟเข้าไปช่วยทำงานคล้ายๆ กับสารอะดีโนซีน (Adenosine) ในร่างกายของเรา ซึ่งสารตัวนี้จะหลอกร่างกายให้ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเมื่อยล้าได้ รวมทั้งทำให้สารอะดรีนาลีน (Adrenaline) หลั่งมากขึ้นอีกด้วย!

เพิ่มพลังงานของกล้ามเนื้อ

อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าเราควรจะทานอาหารที่ให้พลังงานกับร่างกายก่อนที่จะออกกำลังกาย เพราะไม่อย่างนั้นก็คงจะหมดแรงเอาง่ายๆ ซึ่งการดื่มกาแฟนั้นสามารถเป็นแหล่งพลังงานให้กับกล้ามเนื้อของเราได้ โดยที่จะไปช่วยเพิ่มระดับไขมันในเลือดของเรา ซึ่งร่างกายก็จะนำไขมันตรงนี้ไปใช้ในการออกกำลังกายแทนคาร์โบไฮเดรต ร่างกายของเราจึงสามารถเก็บแหล่งพลังงานของกล้ามเนื้อ หรือก็คือ ไกลโคเจน (Glycogen) เอาไว้ได้

ทีนี้ทุกคนก็คงจะได้รู้ถึงประโยชน์ของการดื่มกาแฟกับการออกกำลังกายกันแล้วนะคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอะไรที่มากเกินไปก็อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีได้ ดังนั้นเราควรจะดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะพอดีกับที่ร่างกายรับได้ หรือประมาณ 3-6 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวนั่นเอง และที่สำคัญอย่าลืมทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกดื่มกาแฟออร์แกนิกที่ดีต่อสุขภาพ และไม่หักโหมออกกำลังกายมากเกินไปด้วยน้า

Posted on

5 ประโยชน์ของกากกาแฟที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน!

ใครๆ ก็คงรู้กันดีว่ากาแฟนั้นเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตที่มีประโยชน์และช่วยให้หลายๆ คนสามารถทำงานได้อย่างสดชื่น แต่รู้กันหรือเปล่าคะว่าหลังจากการชงกาแฟสดจากเมล็ดกาแฟแล้วเนี่ย สิ่งที่เรามักจะทิ้งกันเสมอก็คือ “กากกาแฟ”

แน่นอนว่าบางคนอาจจะรู้สึกว่ามันก็ดูไม่มีประโยชน์อะไร จะเก็บไว้ทำไม? แต่ความจริงแล้วเจ้ากากกาแฟนี่ล่ะ ที่สามารถเอามาทำประโยชน์อะไรได้อีกหลายอย่างเลย แถมบางอย่างอาจจะจำเป็นกับชีวิตประจำวันของเราด้วยนะ! จะมีอะไรบ้างเราไปดูกันเลย!

1. ทำปุ๋ยใส่ต้นไม้

ใครที่ชื่นชอบความร่มรื่นหรือมีงานอดิเรกอย่างการปลูกต้นไม้ก็เหมาะกับข้อนี้มากๆ เลยล่ะ เพราะกากกาแฟที่เราชอบทิ้งกันนั้นสามารถเอาไปทำเป็นปุ๋ยใส่ในต้นไม้ได้อย่างดี โดยอาจจะเอากากกาแฟผสมกับปุ๋ยที่ใช้อยู่ประจำ หรือเอาไปหมักกับปุ๋ยหมักแบบเกษตรอินทรีย์ก็ได้เหมือนกัน ธาตุไนโตรเจน โพแทสเซียม และฟอสฟอรัสในกากกาแฟจะช่วยให้พืชพรรณของเราเจริญเติบโตอย่างงดงามเลยล่ะ

2. ดับกลิ่นในตู้เย็น

เป็นธรรมดาที่ในตู้เย็นมักจะเต็มไปด้วยกลิ่นอาหารต่างๆ ซึ่งบางครั้งก็ต้องยอมรับเลยว่าพอมีอาหารเยอะๆ แล้ว กลิ่นเหล่านี้ก็ตีกันซะจนเกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และถ้าเราไม่อยากได้กลิ่นจากตู้เย็นในทุกครั้งที่เปิดล่ะก็ กากกาแฟคือทางออก! แค่เรานำกากกาแฟใส่ถ้วยเล็กๆ วางในตู้เย็น แค่นี้ก็จะช่วยดูดซับกลิ่นเหม็นและเติมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของกาแฟเข้าไปแทนแล้ว!

3. ทำความสะอาดกระทะ

เคยมั้ยที่รู้สึกว่าการทำความสะอาดกระทะเป็นเรื่องยาก กว่าจะขัดคราบฝังแน่นหรืออาหารไหม้ๆ ที่ติดกระทะได้ก็เล่นเอาแทบหมดแรง แต่เราสามารถจัดการได้อย่างง่ายๆ ด้วยการใช้กากกาแฟ! โดยให้เราเอากากกาแฟใส่ในเศษผ้าที่ทำเป็นถุงเล็กๆ แล้วเอามาขัดกระทะบริเวณที่มีคราบ กากกาแฟจะช่วยกัดเซาะคราบที่กำจัดได้ยากเหล่านี้ให้หลุดอย่างง่ายดายเลยทีเดียว

4. สครับผิวให้สวยใส

ข้อนี้สาวๆ บางคนอาจจะรู้กันอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ก็ต้องขอบอกเลยว่าการสครับผิวโดยการใช้กากกาแฟนั้น สามารถทำให้ผิวของเราเรียบเนียน นุ่ม และขาวใสขึ้นได้ เพราะนอกจากการผลัดเซลล์ผิวเก่าๆ แล้ว กากกาแฟยังมีสารที่เป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย จะใช้เดี่ยวๆ หรือจะเอาไปผสมกับโยเกิร์ต น้ำผึ้ง นมสดก็เวิร์คมากๆ ที่สำคัญคือกากกาแฟจะไม่บาดผิวของเราเท่ากับการใช้เกลือสครับด้วยนะ

5. หมักผมให้เงางาม

นอกจากการนำไปขัดตัวแล้ว กากกาแฟก็ยังสามารถเอามาหมักผมได้อีกด้วย ซึ่งแชมพูบางยี่ห้อก็มีการใช้ส่วนผสมจากกาแฟกันแล้วนะ และเมื่อเรามีกากกาแฟอยู่ที่บ้าน เราก็แค่นำมาผสมกับยาสระผมหรือครีมนวดผมที่ใช้ประจำ ง่ายๆ เท่านี้ก็ช่วยให้เส้นผมของเราดำเงางาม นุ่มสวยและดูมีสุขภาพดีกว่าปกติแล้วล่ะค่ะการนำกากกาแฟที่จะต้องทิ้งอยู่แล้วกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แน่นอนว่านอกจากจะได้ประโยชน์จริงๆ ในชีวิตประจำวัน ยังเป็นการช่วยกำจัดขยะเหลือทิ้งได้อีกต่างหาก เพียงแค่นี้ทุกคนก็จะได้ทั้งดื่มกาแฟอร่อยๆ ฟินๆ และช่วยรักษ์โลกกันอีกด้วย!

Posted on

คอกาแฟควรรู้! กับ 5 เคล็ดลับการดื่มกาแฟแบบไม่เสียสุขภาพ

อาหารและเครื่องดื่มหลายๆ อย่างบนโลกนี้ต่างก็มีทั้งประโยชน์และโทษด้วยกันทั้งนั้น แม้กระทั่ง “กาแฟ” เครื่องดื่มสุดโปรดในใจใครหลายคน แบบที่เรียกได้ว่าถ้าวันไหนไม่ได้ดื่ม ก็คงจะง่วงซึมไม่มีกระจิตกระใจจะทำงานกันเลยทีเดียว ซึ่งการดื่มกาแฟก็มีข้อดีหลายๆ อย่าง ทั้งช่วยให้เราสดชื่น สมองตื่นตัวพร้อมทำงาน และสามารถป้องกันโรคหลายๆ อย่างได้

แต่! ถ้าหากเราดื่มผิดวิธีหรือดื่มในปริมาณที่มากเกินไป กาแฟก็สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการใจสั่น เกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือทำให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุได้น้อยลง ดังนั้นเราก็เลยจะมาแนะนำเคล็ดลับการดื่มกาแฟแบบไม่ให้เสียสุขภาพ เพื่อเอาใจคอกาแฟทุกคนกัน!

1. ไม่ดื่มกาแฟตอนท้องว่าง
การดื่มกาแฟตอนท้องว่างสามารถส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ หรือเป็นโรคกระเพาะได้ เนื่องจากว่ากาแฟนั้นมีฤทธิ์ที่เป็นกรด โดยคาเฟอีนในกาแฟจะเข้าไปเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารให้ทำงานเร็วขึ้น นอกจากนี้กาแฟยังไปทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น จนเรารู้สึกอยากอาหารอยู่ตลอดเวลาด้วย ดังนั้นการดื่มกาแฟพร้อมกับของว่างหรืออาหารที่มีประโยชน์อย่าง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต จะช่วยให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนช้าลง และดีต่อสุขภาพมากกว่านั่นเอง

2. เลือกดื่มกาแฟออร์แกนิก
คุณภาพของเมล็ดกาแฟก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเช่นเดียวกันนะคะ เราควรจะเลือกดื่มกาแฟที่มาจากเมล็ดกาแฟคุณภาพสูง หรือกาแฟออร์แกนิก เพราะมีวิธีการปลูกและการผลิตที่ปลอดภัย ซึ่งจะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าสุขภาพของเราจะปลอดภัยจากบรรดาสารเคมีต่างๆ ที่อาจจะตกค้างอยู่ได้ เช่น ยาฆ่าแมลง หรือปุ๋ยเคมี

3. เลือกเวลาในการดื่ม
จริงๆ แล้วการดื่มกาแฟที่ดีคือควรดื่มก่อนเวลา 14.00 น. ทั้งนี้ก็เพื่อให้เราสามารถนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ในตอนกลางคืน และหากจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องดื่มกาแฟหลัง 14.00 น. ก็ควรจะเลือกดื่มกาแฟที่มีปริมาณคาเฟอีนน้อยๆ จะได้ไม่เกิดการใจสั่น หรือนอนไม่หลับกันนะคะ

4. ดื่มกาแฟแบบไม่ใส่น้ำตาล หรือ ครีมเทียม
คนเราโดยทั่วไปแล้วต้องการน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 6 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น ซึ่งในแต่ละวันเราก็มักจะได้รับเพียงพอแล้วจากอาหารหรือขนมต่างๆ การดื่มกาแฟที่ดีต่อสุขภาพจึงไม่ควรจะใส่น้ำตาลหรือครีมเทียมใดๆ เลยจะดีที่สุด (ช่วยให้ไม่อ้วนด้วยนะ!) แต่ถ้าใครไม่สามารถกินแบบนี้ได้จริงๆ ก็แนะนำให้ใส่น้ำผึ้งหรือสารให้ความหวานแทนจะดีกว่าน้า

5. ดื่มน้ำเปล่าตามเยอะๆ
เมื่อเราดื่มกาแฟเสร็จแล้ว สิ่งที่ควรทำก็คือการดื่มน้ำเปล่าตามเยอะๆ เพราะว่าในกาแฟจะมีคาเฟอีนอยู่ ซึ่งเจ้าคาเฟอีนนี้แหละที่จะไปกระตุ้นให้เรารู้สึกอยากเข้าห้องบ่อยๆ และทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำไปจำนวนมาก การดื่มน้ำเปล่าสะอาดๆ ตามจึงจะไปช่วยรักษาสมดุลและอาการสูญเสียน้ำของร่างกายเรานั่นเองค่ะ

เห็นมั้ยคะว่าแต่ละข้อที่เราเอามาบอกต่อนั้น ล้วนแต่เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายๆ ทั้งนั้นเลย ยังไงเพื่อนๆ ทุกคนที่รักการดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจก็อย่าลืมนำไปปรับใช้ให้เข้ากับการดื่มกาแฟของตัวเองกันล่ะ เพราะ อะมา อยากให้ทุกคนได้ดื่มกาแฟดีๆ ไปพร้อมกับการมีสุขภาพที่ดี