Posted on

รวม 5 เทคนิค คั่วกาแฟอย่างไร ให้ออกมาดีที่สุด!

ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ที่ทานกาแฟมักจะตามหารสชาติที่นุ่มลึก เข้มข้น กลมกล่อมอย่างลงตัวของกาแฟสด มากกว่าจะเน้นความสบายฉีกซองชงกินให้จบๆ ไป แถมหลายๆ คนก็เริ่มหันมาชงกาแฟสดดื่มเองที่บ้าน แต่ทั้งนี้การทำกาแฟสดส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดปัญหาอย่างการที่รสชาติไม่เหมือนกับที่ร้านกาแฟ ไหนจะขมเกินไป มีกลิ่นไหม้ หรือรสชาติไม่ตรงตามความต้องการของเราอีก ซึ่งบอกเลยว่าปัญหานี้เป็นปัญหาโลกแตกที่จะไม่มีวันคลี่คลายเลยถ้าคุณไม่ได้ทำความเข้าใจในเทคนิคการคั่วกาแฟเหล่านี้

ความร้อนต้องเหมาะสม

ความร้อนในการคั่วถือเป็นเรื่องแรกที่คนคั่วกาแฟจะต้องใส่ใจและคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด นั่นก็เพราะความร้อนที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป สามารถส่งผลต่อรสชาติขมของกาแฟได้ รวมทั้งอาจทำให้เมล็ดกาแฟของเราเกิดไหม้หรือไม่สุก เทคนิคที่ดีคือเราต้องตั้งความร้อนให้เหมาะสม แล้วค่อยๆ เพิ่มความร้อนไปเรื่อยๆ จนสุกนั่นเอง

เตาได้มาตรฐาน

แน่นอนว่าการคั่วจะออกมาดีได้ อุปกรณ์ที่ใช้งานย่อมต้องมีคุณภาพและมาตรฐานด้วยนะ การเลือกซื้อเตาคั่วกาแฟจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด ควรจะเลือกเตาที่สามารถตั้งอุณหภูมิได้ เลือกขนาดตามปริมาณที่เราต้องการใช้จริง และต้องเลือกแบบที่มีมาตรฐานด้วย

รสชาติแตกต่างตามระดับ

สาเหตุที่เราคั่วกาแฟออกมาไม่ได้รสชาติตามที่ต้องการ เหตุผลก็คือเราอาจจะคั่วกาแฟออกมาไม่ถูกระดับนั่นเอง! โดยกาแฟคั่วระดับอ่อน จะมีรสชาติออกเปรี้ยวจากกรดผลไม้ผสมอยู่ ต่อมาคือกาแฟคั่วระดับปานกลาง ซึ่งจะมีความเข้มข้นขึ้นมาอีกระดับ และมีความหอมเหมาะกับการชงเป็นกาแฟร้อน สุดท้ายคือกาแฟคั่วระดับเข้ม แน่นอนว่ารสชาติจะเข้มข้นมากที่สุด เหมาะกับการชงแบบเอสเพรสโซ่ที่มีความเข้มข้นสูง

การใช้ลมและไฟ

อีกหนึ่งเทคนิคก็คือการเลือกเปิดปิดลมระหว่างที่คั่วกาแฟ รวมทั้งการเร่งระดับและลดระดับของไฟลง สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกับรสชาติของกาแฟ เราจึงต้องคอยระวังในการควบคุมจังหวะให้อยู่ในระดับที่เหมาสม ซึ่งถึงแม้อาจจะฟังดูยากไปนิด แต่ถ้าลองศึกษาเพิ่มเติมก็จะทำให้กาแฟคั่วของเราออกมาไร้ที่ติเลยล่ะ

ใช้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ

งานนี้จะขาดหัวใจหลักของการคั่วกาแฟอย่าง “เมล็ดกาแฟ” ไปไม่ได้ การเลือกเมล็ดกาแฟควรเลือกชนิดที่มีคุณภาพ มาจากแหล่งปลูกที่ได้มาตรฐาน สดใหม่ ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี มีกลิ่นหอม และยิ่งถ้าเป็นกาแฟออแกนิคก็ยิ่งดีมากๆ หากเลือกวัตถุดิบที่ดี กาแฟที่เราคั่วก็จะออกมามีรสชาติดีแน่ๆ

หลายๆ คนที่ได้รู้เทคนิคเหล่านี้แล้วก็อย่าลืมนำไปปรับใช้กัน รับรองว่าปัจจัยต่างๆ นี้จะต้องช่วยทุกคนได้ไม่มากก็น้อย คราวนี้กาแฟคั่วของทุกคนจะต้องออกมารสชาติดี กลมกล่อม หอมกรุ่น แถมยังตรงใจจนไม่อยากไปร้านกาแฟอีกแน่นอน

Posted on

เสริมรสชาติให้อเมริกาโน่เป็นมากกว่ากาแฟดำ!

สายกาแฟดำห้ามพลาด! เพราะกาแฟดำ หรือที่เรียกกันว่าอเมริกาโน่นั้น เป็นกาแฟเข้มข้นที่ไม่มีนมมาผสม แต่ด้วยวิวัฒนาการด้านกาแฟเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการทดลองนำอเมริกาโน่ไปผสมกับวัตถุดิบอื่นๆ ให้กลายเป็นอเมริกาโน่ในรสชาติที่กรุ่นไม่เหมือนใคร มาดูกันดีกว่าว่าวัตถุดิบที่เหล่าสาวกกาแฟนำมาผสมนั้นมีอะไรบ้าง ไปดูกัน

  1. อเมริกาโน่ + น้ำผึ้ง

เมนูยอดฮิตสำหรับสายอเมริกาโน่ที่ติดรสชาติอมหวานอ่อนๆ อย่างที่รู้กันดีว่า น้ำผึ้งเป็นอีกหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมความหวานได้นุ่มกว่าไซรัปทั่วไป ทั้งยังมีกลิ่นหอมน้ำผึ้งแฝงมากับกลิ่นกาแฟคั่วบดด้วย สำหรับคนที่ชอบกาแฟหวานแต่ไม่เคยลิ้มลองรสกาแฟชนิดนี้ ขอบอกเลยว่าพลาดมาก

  1. อเมริกาโน่ + ส้ม

อีกหนึ่งเมนูกาแฟที่กำลังเข้ามาครอบครองจิตใจของสาวกกาแฟดำทั้งหลาย ทำให้เริ่มเป็นที่พูดถึงเป็นวงกว้าง และยังเป็นเมนูที่คนชงกาแฟอยากแนะนำมากที่สุด! เพราะอเมริกาโน่เป็นกาแฟที่ให้รสชาติขม หอมกาแฟ แต่ไม่นุ่มลึกเหมือนเหล่ากาแฟใส่นมนั้น เมื่อนำไปผสมกับน้ำส้ม ทำให้กาแฟดำ หรืออเมริกาโน่ที่เราเรียกกันอยู่นั้น มีมิติ แอบซ่อนความเปรี้ยวที่ทำให้สายชิมกาแฟต้องพูดออกมาเป็นคำเดียวกันว่า ลุ่มลึกแต่สดชื่น

  1. อเมริกาโน่ + โซดา

สายชอบความซ่าห้ามพลาดกับเมนูนี้ เพราะเมนูนี้ทำมาเพื่อคนที่รักน้ำอัดลมและความซ่าโดยเฉพาะ ใครบอกกาแฟอเมริกาโน่จะแสบซ่าแบบน้ำอัดลมไม่ได้! ขอบอกเลยว่า เข้ากันดี ไม่เกิดเป็นกลิ่นอื่นๆ ด้วย เพราะตัวโซดาเองไม่มีรส ไม่มีกลิ่นอยู่แล้ว ทำให้เราได้สัมผัสความหอมของกาแฟแบบดั้งเดิมไปพร้อมๆ กับความซ่าเล็กๆ ดังนั้นเมนูนี้เรายกให้เป็นเมนูที่สาวกอเมริกาโน่แท้ๆ ห้ามพลาดเด็ดขาด 

  1. อเมริกาโน่ + โซดา + น้ำส้มโอ

ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับนักชงกาแฟตัวยงที่มีความคิดสร้างสรรค์ พร้อมเปิดรับและทดลองชงกาแฟให้เกิดเป็นรสชาติใหม่ๆ อยู่เสมอ จนมาถึงเมนูนี้ เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบความสดชื่นในแบบของอเมริกาโน่รสส้ม แต่อยากเติมความซ่าสดชื่นเข้าไปอีก ดังนั้น น้ำโซดาที่ไม่ทำให้กาแฟเปลี่ยนกลิ่นนั้นจึงเป็นวัตถุดิบสำคัญในเมนูนี้ด้วย สำหรับใครที่ยังไม่เคยได้ลอง ต้องจัดแล้วล่ะ

และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเมนูกาแฟอเมริกาโน่ในมิติอื่นๆ ที่สาวกกาแฟห้ามพลาดที่จะลองชิมให้ครบทั้ง 4 รส ซึ่งปัจจุบัน เมนูอเมริกาโน่นั้นได้ถูกดัดแปลง แต่เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ที่รอให้พวกคุณได้ลิ้มลองอยู่อีกมากมาย

Posted on

วิธีการ Drip กาแฟ เพื่อรสชาติที่ดีที่สุด

Drip กาแฟ เป็นการชงกาแฟที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและเป็นวิธีการชงกาแฟที่ง่าย ซึ่งในอดีตการดริปกาแฟเป็นที่นิยมในทวีปยุโรป สแกนดิเนเวีย เกาหลี และญี่ปุ่น โดยการดริปกาแฟสามารถที่จะดึงรสชาติของกาแฟคั่วบดออกมาได้เป็นอย่างดี

การจะดริปกาแฟให้อร่อยนั้นมีหลากหลายเทคนิค ไม่ว่าจะเป็น การคัดสรรคุณภาพของเมล็ดกาแฟที่ต้องผ่านการคั่วสดใหม่ อย่างกาแฟแบรนด์ อะมา เป็นกาแฟที่มีรสชาติพิเศษไม่เหมือนใคร

นอกจากนี้ขั้นตอนการเก็บเมล็ดกาแฟก็ยังเป็นจุดสำคัญที่ต้องเก็บในภาชนะที่ห่อถูกปิดสนิท ไม่ให้อากาศและความชื้นผ่านเข้าไปโดนเมล็ดกาแฟได้ เพราะจะทำให้เสียรสชาติ การดริปกาแฟมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก และเป็นหนึ่งในวิธีที่จะทำให้คุณได้ลิ้มลองรสชาติกาแฟที่ดีที่สุด

1.อัตราส่วนปริมาณกาแฟต่อน้ำ

ปริมาณของกาแฟและน้ำที่ใช้การดริปนั้นต้องมีอัตราส่วนที่พอดี หากใส่น้ำมากไปก็จะทำให้รสชาติของกาแฟนั้นจางลง ซึ่งในอัตราส่วนที่จะทำให้ได้รสชาติของกาแฟที่ดีที่สุดที่แนะนำคือ กาแฟ 1 กรัม ต่อน้ำ 15-17 กรัม โดยสามารถปรับปริมาณของน้ำได้ตามความชอบของแต่ละคน

2.ลักษณะของ Dripper

  • ลักษณะของตัวกรอง (filter) จะมีหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นกระดาษ, ผ้า, โลหะ ซึ่งในแต่ละอันนั้นจะมีจุดเด่นจุดด้อยที่ต่างกันออกไป อย่างเช่น ตัวกรองแบบโลหะรูของ Dripper จะใหญ่กว่า ทำให้ได้น้ำเยอะกว่า แต่จะมีผงกาแฟปนอยู่ในแก้วด้วย ซึ่งแบบกระดาษจะมีรูที่เล็กกว่าทำให้กรองผงกาแฟได้ดีกว่า ทำให้ได้น้ำที่ใสกว่า แต่บางทีอาจจะมีรสชาติของกระดาษติดในกาแฟแก้วนั้น จึงควรต้องล้างก่อนใช้
  • การไหลของน้ำ (Flow Rate) ลักษณะของรูใน Dripper ที่ให้น้ำไหลออกมานั้นก็มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งรูเล็กหนึ่งรู หรือหลายรู บ้างก็เป็นรูขนาดใหญ่ โดยถ้าการจะให้น้ำไหลช้าหรือไว ก็ขึ้นอยู่กับการบดขนาดกาแฟให้เหมาะสมกับ Dripper

3.ขนาดบดเมล็ดกาแฟ

ปัจจัยของขนาดในการบดเมล็ดกาแฟนั้นขึ้นอยู่กับรสชาติที่ต้องการ และลักษณะของ Dripper หาก Dripper มีรูขนาดเล็กก็ต้องบดกาแฟให้ละเอียด เพราะจะทำให้รสชาติมีความเข้มข้น

4.การเทน้ำและระยะเวลา

ระยะเวลาในการชง หากใช้เวลานานแสดงว่าการไหลของน้ำนั้นช้า จะทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้น แต่หากใช้เวลาไม่นานแสดงว่าน้ำไหลไว กาแฟจะมีรสชาติที่จางลง ซึ่งการเทน้ำถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการไหลของน้ำเช่นกัน

ในการเทน้ำร้อนลงไปในถ้วยดริป ควรเทให้ปริ่มๆกับระดับปริมาณของกาแฟก่อน และรอประมาณ 30-40 วินาที เพื่อให้กาแฟคลายแก๊ส (ไม่ควรเทจนเต็มแก้วดริปเลยตั้งแต่แรก จะทำให้เสียรสชาติ) แล้วจึงค่อยๆเทวนให้ได้ตามปริมาณน้ำที่ต้องการ

5.อุณหภูมิ

ยิ่งอุณหภูมิสูงยิ่งทำให้รสชาติของกาแฟนั้นเข้มขึ้น ซึ่งอุณหภูมิที่แนะนำจะอยู่ที่ประมาณ 92-94 องศา

การ Drip กาแฟเป็นกาแฟดำที่สามารถดื่มได้เลยโดยไม่ต้องปรุงแต่งจะทำให้คุณได้ลิ้มลองรสชาติของกาแฟที่ดีที่สุด และยังมีประโยชน์ต่อคนที่ต้องการลดน้ำหนักอีกด้วย นอกจากนี้ถ้าอยากได้รสชาติกาแฟที่ไม่เหมือนใคร ต้องไม่ลืมลอง กาแฟแบรน์ อะมา ปางขอน ที่นอกจากจะได้ดื่มกาแฟชนิดพิเศษ รสชาติดีเยี่ยม และยังได้ช่วยชาวเขาอีกด้วย

Posted on

วิธีการทำลาเต้อาร์ตรูปหัวใจ ฉบับมือใหม่หัดทำเองที่บ้าน

ลาเต้ “latte” เป็นอีกหนึ่งเมนูยอดฮิตตลอดกาลของสายกาแฟนมจะต้องรู้จัก และคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งแน่นอนว่า คำว่า “latte” ที่เราเรียกกันอยู่ประจำนั้น ในภาษาอิตาลีได้แปลอย่างตรงตัวว่า “นม” ซึ่งมาจากการผสมผสานระหว่างกาแฟดำที่มีการเน้นนมเป็นหลัก ที่ให้รสชาติกาแฟดำธรรมดาๆ นั้น เกิดความหอมมันนุ่มลึกนั่นเอง  

แต่สิ่งที่มาพร้อมกับลาเต้ร้อนๆ นั้น มันมีอะไรมากกว่าศิลปะการชงที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบาร์ คือลาเต้ อาร์ต (latte art) ที่บาริสต้าจะใช้นมมาทำเป็นลวดลายต่างๆ โดยการเทลายลงบนถ้วยกาแฟ ทำให้เกิดความสวยงาม และมีเสน่ห์ที่ดึงดูดใจของเหล่าสายกาแฟได้อย่างไม่น่าเชื่อ และวันนี้ เราจึงไม่พลาดที่จะพาทุกคนไปท่องโลกของลาเต้อาร์ตลายหัวใจ ที่คุณเองก็สามารถฝึกทำเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน แบบฉบับมือใหม่แกะกล่องกันเลย

ซึ่งการทำ Latte Art นั้นสามารถทำได้ 2 วิธีด้วยกัน ได้แก่

  1. การเทอิสระ (Free Pouring) เทคนิคนี้ดูเหมือนจะยากไปสำหรับมือใหม่หัดวาด เพราะเทคนิคการเทนมจาก Pitcher ลงบนถ้วยกาแฟนั้นต้องอาศัยการควบคุมความนิ่งของข้อมือและการจับจังหวะการเทนม จนได้เป็นลวดลายลาเต้อาร์ตออกมา ดังนั้นวิธีนี้จึงต้องใช้ความชำนาญระดับหนึ่งของบาริสต้าแท้ๆ เลยล่ะ
  2. การแกะ (Etching) วิธีนี้เป็นเทคนิคที่ง่ายๆ เหมาะสำหรับมือใหม่แบบเรา คือการใช้การลาก แกะ เขี่ย วาด หยอดนมลงในกาแฟดำ เพื่อสร้างสรรค์ลายกาแฟใหม่ๆ ขึ้นมาได้จากจินตนาการ ด้วยอุปกรณ์ง่ายๆ เช่น ไม้จิ้มฟัน ช้อน และอื่นๆ 

โดยมีวิธีการทำ ดังนี้

  1. เตรียม Espresso shot ใส่ถ้วยไว้ตามสูตรกาแฟของแต่ละคนเลย
  2. เทนมลงไปประมาณ 40% ของถ้วย 
  3. และค่อยๆ เริ่มต้นด้วยการเอียงข้อมือที่ถือถ้วย ทำให้ถ้วยทำมุมได้ 45% องศา
  4. เทลงไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยมขึ้นมาสัมผัสผิวหน้ากาแฟ 
  5. จากนั้นให้ค่อยๆ ส่ายข้อมือให้รูปภาพสามเหลี่ยมของเรานั้นได้กระจายออก
  6. หยุดเท แล้วเอียงถ้วยขึ้นมาเล็กน้อย และค่อยๆ เทโฟมนมลงไปอย่างต่อเนื่อง โดยพยายามบังคับให้รูปสามเหลี่ยมนั้นรวมตัวกันอยู่ที่จุดศูนย์กลาง
  7. ขั้นตอนสุดท้ายของการเทโฟมนมเป็นรูปหัวใจคือ ให้ค่อยๆ ลดปริมาณการเทลง และเพิ่มระดับความสูงของการเทขึ้น และตัดจบด้วยการขีดเส้นลงไปตรงกลางของรูปสามเหลี่ยมนั้น

เห็นไหมคะว่าไม่ยากเลย สำหรับใครที่มีความตั้งใจจะทำกาแฟหอมกรุ่น กับเมนูอื่นๆ ด้วยตัวเองที่บ้าน คลิกเลย https://www.amaexoticcoffee.com นอกจากได้ความรู้แล้ว คุณยังจะได้สัมผัสกาแฟแท้ๆ จากชุมชนอาข่า ปางขอนอีกด้วย!

Posted on

รู้หรือไม่ กาแฟสด กับ กาแฟสำเร็จรูป ต่างกันยังไง?

หลายๆ คนที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟเป็นประจำก็คงจะรู้กันดีว่ากาแฟนั้นมีอยู่สองประเภท ก็คือ กาแฟสด และ กาแฟสำเร็จรูป ซึ่งถึงแม้จะรู้ว่ามีอยู่สองประเภทนี้ แต่บางคนก็อาจจะยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว กาแฟทั้งสองแบบนี้มันต่างกันยังไง? แบบไหนจะอร่อยกว่า? แล้วข้อดีของแต่ละแบบมีอะไรบ้าง? เอาเป็นว่าวันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณแล้ว!

วิธีการผลิต

เริ่มตั้งแต่วิธีการผลิตกันเลย กาแฟสำเร็จรูปนั้นจะมีลักษณะเป็นผงมาให้อยู่แล้ว จึงต้องผ่านกระบวนการแปรรูปหลากหลายขั้นตอนมากกว่ากาแฟสด ทั้งการคั่ว บด สกัด ทำให้เข้ม และทำให้แห้ง โดยอาจจะผลิตออกมาเป็นผงกาแฟอย่างเดียวเลย หรืออาจจะมีการนำไปผสมกับน้ำตาลและครีมเทียมเพื่อให้มีรสชาติกลมกล่อมมากขึ้นอย่างที่ทุกคนรู้จักกันดีในรูปแบบ “กาแฟซอง” วิธีการผลิตก็คือจะใช้เครื่องทำแห้งแบบพ่น  (Spray drying) หรือเครื่องทำแห้งแบบระเหิด (Freeze drying) เพื่อให้ได้เป็นเกร็ดผงของกาแฟ ส่วนสำหรับกาแฟสดจะมีขั้นตอนน้อยกว่า เริ่มตั้งแต่การเก็บเมล็ดมาบ่มเพาะ คั่ว และบด ก็สามารถนำไปชงต่อได้เลย ซึ่งบางครั้งก็อาจจะผลิตเป็นเมล็ดกาแฟที่ยังไม่ผ่านการบดก็ได้ ตามที่เรามักจะเห็นในร้านกาแฟนั่นเอง

วิธีการชงดื่ม

ถึงแม้กระบวนการผลิตจะน้อยกว่า แต่สำหรับการชงดื่มนั้น กาแฟสดจะมีขั้นตอนที่ซับซ้อนมากกว่าแบบสำเร็จรูป เนื่องจากตัวเมล็ดกาแฟยังไม่ผ่านการบดให้เป็นผง จึงต้องนำมาบดซะก่อน แล้วจึงเอาไปชงตามแต่ละวิธีที่แตกต่างกันตามความชอบของผู้ดื่ม ไม่ว่าจะเป็นการชงแบบผ่านกระดาษกรอง (Drip) ชงแบบใช้น้ำร้อนโดยตรง (Frence Press) หรือใช้ไอน้ำ (Espresso) ซึ่งแต่ละวิธีก็จะได้รสชาติและความเข้มข้นที่ต่างกันด้วยนะ ส่วนกาแฟสำเร็จรูปนั้นมีวิธีการชงที่ง่ายและรวดเร็วมากๆ นั่นก็คือนำผงกาแฟไปชงกับน้ำร้อนก็สามารถดื่มได้แล้ว ถ้าเป็นผงกาแฟอย่างเดียวก็อาจจะเติมน้ำตาล นม หรือครีมเทียมตามใจชอบ แต่ถ้าเป็นกาแฟซองก็มักจะมีการผสมมาให้แล้ว เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องทำอะไรเลย

รสชาติและกลิ่นหอม

กระบวนการผลิตที่มีมากมายหลายขั้นตอนของกาแฟสำเร็จรูปนั้น ย่อมส่งผลถึงรสชาติและกลิ่นหอมดั้งเดิมของกาแฟที่ต้องเสียไป เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับความรวดเร็วและสะดวกสบาย หลายๆ คนจึงรู้สึกว่าทำไมชงกาแฟดื่มเองที่บ้านไม่อร่อยเท่าร้านกาแฟ? นั่นก็เป็นเพราะร้านกาแฟมักจะใช้เมล็ดกาแฟสด ซึ่งมีขั้นตอนการชงที่พิถีพิถันมากกว่า มีรสที่เป็นธรรมชาติและมีเสน่ห์มากกว่า รวมทั้งรสชาติความเข้มข้นและกลิ่นหอมก็มากตามไปด้วย

และสำหรับใครที่ไม่เคยกินกาแฟสดเลยสักครั้ง “อะมา” คือตัวเลือกแรกที่คุณต้องลอง ด้วยความหอม ความสดใหม่ และยังเป็นกาแฟชนิดพิเศษ (exotic) ของไทยที่ปลูกบนยอดเขาสูงกว่า 1,300 เมตร ทำให้ได้รสชาติ นุ่มนวล กลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ ขอบอกเลยว่าต้องลองสักครั้ง แล้วคุณจะออกจากวงการนี้ไม่ได้อีกเลย!

Posted on

ไขข้อสงสัย กาแฟเบลนด์พิเศษ คืออะไร?

ธุรกิจร้านกาแฟได้ผุดขึ้นตามจังหวัดต่างๆ มากมาย ซึ่งร้านแต่ละร้านนั้นก็จะมีสูตร และเทคนิคการชงกาแฟที่ให้กลิ่นและรสชาติที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ กาแฟยังมีอีกหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นกาแฟชง กาแฟแบบดริฟ หรือกระทั่งกาแฟแบบเบลนด์ ดังนั้นวันนี้เราจึงขอยกหัวข้อเกี่ยวกับการเบลนด์กาแฟ ในรูปแบบที่ ไขข้อสงสัย กาแฟเบลนด์พิเศษคืออะไร?

กาแฟเบลนด์คืออะไร?

coffee blend  คือ การ “ผสม” โดยการนำเมล็ดกาแฟ 2 พันธุ์ขึ้นไปมาผสมกันในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อสร้างรสชาติที่แตกต่าง อร่อย และซับซ้อนขึ้น รวมถึงเพื่อสร้างกาแฟให้เกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของร้านเราขึ้นมา โดยการใช้ characteristic (ลักษณะพิเศษเฉพาะ) ของเมล็ดกาแฟที่แตกต่างกันมาผสมรวมกัน เกิดเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ ให้ความแตกต่าง 

ซึ่งความแตกต่างนั้นอาจเกิดได้จาก

1. อายุของเมล็ดกาแฟที่ต่างกัน
2. ระดับการคั่วต่างกัน 
3. สายพันธุ์ต่างกัน 
4. เชื้อสายต่างกัน
5. แหล่งเพาะปลูกต่างกัน

ซึ่งข้อดีของการเบลนด์ก็คือ 

  1. แน่นอนว่าสร้างเอกลักษณ์ให้ร้านของคุณ โดยการนำคุณสมบัติของเมล็ดกาแฟสายพันธุ์นั้นๆ ขึ้นมาสร้างเรื่องราว และรสชาติที่ไม่มีใครเหมือน
  2. ประหยัดต้นทุนและสามารถปกปิดจุดด้อยของกาแฟตัวอื่นๆ ได้ด้วย
  3. ให้ความสุนทรีย์มากขึ้นกว่าที่จะได้รับจากกาแฟชนิดเดียว 
  4. อาจได้รับความแปลกใหม่ในรสชาติกาแฟจากการเบลนด์ได้อย่างคาดไม่ถึง

เราสามารถเบลนด์ได้ 2 วิธี 

  1. เบลนด์ก่อนใส่ลงไปคั่ว เหมาะสำหรับคนที่ชอบกาแฟที่มีรสชาติกลมกลืนไปในทางเดียวกัน
  2. คั่วกาแฟแต่ละชนิดแบบแยกกัน และนำมาผสมกันทีหลัง เพื่อดึงเอากลิ่นรสที่ดีที่สุดของกาแฟชนิดนั้นๆ ตามที่เราต้องการ

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่าการเบลนด์ นับเป็นอีก 1 องค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างเอกลักษณ์ และบริบทใหม่ ซึ่งผู้ที่ทำการเบลนด์จะต้องเลือกกาแฟ โดยเริ่มจากการทดลองว่ากาแฟแต่ละตัวนั้นมีกลิ่นรสอย่างไรบ้าง เมื่อคั่วในระดับต่างๆ กัน แล้วค่อยๆ ปรับเปลี่ยนดัดแปลงองค์ประกอบต่างๆ เช่น ลองใช้กาแฟที่คั่วเข้มกว่า อ่อนกว่า หากมันยังไม่เข้ากัน ก็ต้องลองเปลี่ยนกาแฟไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้กาแฟที่ตรงใจเราอย่างดีที่สุด โดยสามารถเข้ามาปรึกษาหรือซื้อเมล็ดกาแฟได้จากอะมา ปางขอน คลิก https://www.amaexoticcoffee.com/ เป็นเมล็ดกาแฟที่เกิดจากการปลูกกาแฟเพื่อขายเมล็ดของชาวอาข่าในพื้นที่ จนส่งผลให้เกิดการฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำและแพร่ขยายเพิ่มมากขึ้นเป็นวงกว้าง

Posted on

การคั่วกาแฟ คือหัวใจสำคัญของการกำหนดรสชาติของกาแฟ

กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่กว่าจะเป็นกาแฟที่ให้เราได้ลิ้มลองรสชาติ ต้องผ่านกรรมวิธีที่หลากหลาย ซึ่งหัวใจสำคัญของรสชาติกาแฟก็คือการคั่ว!! เนื่องจากเมล็ดกาแฟดิบนั้นไม่มีรสชาติ และไม่ได้มีกลิ่นหอมจากเมล็ดเลย!! ซึ่งการคั่วเมล็ดกาแฟเปรียบเสมือนการดึงเอาเสน่ห์ของเมล็ดกาแฟมาสรรค์สร้างเป็นเครื่องดื่มถ้วยโปรดของคุณ เพราะเมื่อเมล็ดกาแฟโดนความร้อนก็จะทำให้น้ำมันระเหยออกมาและเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีภายใน ทำให้เราได้กลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟมากขึ้น ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้ต้องมีการคั่วเมล็ดกาแฟก่อน!! 

ในการคั่วนั้นแบ่งออกเป็น 5 ระดับ โดยระดับการคั่วของเมล็ดกาแฟมีผลต่อรสชาติ ความเปรี้ยว ความหวาน ความขม รวมไปถึงกลิ่นของกาแฟด้วย

1.ระดับ Light Roast – เมล็ดกาแฟจะมีความอ่อนมากที่สุด สีจะคล้ายสีของ cinnamon หรืออบเชย ซึ่งใช้ระยะเวลาในการคั่วสั้นๆ แค่ 5-10 นาที และใช้ความร้อนที่ระดับ 400 องศาฟาเรนไฮต์ ส่วนเรื่องของรสชาติจะมีความเปรี้ยวที่โดดเด่นออกมาผสมกับความฝาดขม! เหมาะที่จะนำไปทำกาแฟร้อน

2.ระดับ Medium Roast – เมล็ดกาแฟจะมีสีสันเพิ่มขึ้นเป็นสีน้ำตาลเข้มปานกลางหรือมีสีเหลืองเข้มตามชนิดของเมล็ดกาแฟ โดยจะใช้เวลาในการคั่วประมาณ 11-15 นาที ส่วนของรสชาติจะมีความเปรี้ยวจาง และยังคงมีความขมอยู่ แต่รสชาติที่เด่นขึ้นมาเลยคือความหวาน เหมาะกับการนำไปทำกาแฟร้อนและเย็น 

3.ระดับ Viennese Roast – เป็นการคั่วที่มีความเข้มมากขึ้น และสีของเมล็ดกาแฟก็มีความเข้มขึ้นจากระดับ Medium Roast แต่การคั่วในระดับนี้กลิ่นของเมล็ดกาแฟจะมีความหอมมากกว่าชนิดอื่นๆ เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยออกมาจากผิวของเมล็ดกาแฟ บริเวณผิวจะมีความมัน ซึ่งใช้เวลาในการคั่วแบบมาตรฐานประมาณ 14-16 นาที ความร้อน 450 องศาฟาเรนไฮต์

4.ระดับ Dark Roast – แน่นอนว่าระดับการคั่วนี้สีของเมล็ดกาแฟจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม มีความมันวาวจากน้ำมันที่ออกมาเคลือบผิว ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 16-18 นาที และใช้ความร้อนที่ 480 องศาฟาเรนไฮต์ ความเปรี้ยวจะหายไปในระดับการคั่วนี้ แต่จะทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมและมีกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟ!!

5.ระดับ Continental – เป็นการคั่วที่เข้มมาก สีของเมล็ดกาแฟเลยมีความเข้มมากจนเป็นสีดำ ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 17-19 นาที การคั่วในระดับนี้เป็นการคั่วแบบพิเศษที่ต้องใช้ความสามารถ โดยจะมีกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟและกลิ่นไหม้ที่ถูกผสมผสานกันได้อย่างลงตัว รสชาติมีความนุ่มลึกและเข้ม เป็นรสชาติที่คนส่วนใหญ่เลือกให้เป็นกาแฟถ้วยโปรด!! ซึ่งนิยมเอาไปบดใช้ในกาแฟ Espresso 

ทั้งนี้การคั่วถือเป็นกระบวนการสุดท้ายที่จะสรรค์สร้างรสชาติและกลิ่นของกาแฟ ก่อนที่จะนำไปชงเป็นเครื่องดื่มถ้วยโปรดให้คุณ! แต่ทั้งนี้อย่าลืมว่าการคั่วกาแฟนั้นต้องใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เพื่อช่วยดึงเสน่ห์ของกลิ่นและรสชาติกาแฟให้กลมกล่อม!!

Posted on

4 เคล็ดลับกู้เงินธนาคารอย่างไร ให้เปิดร้านกาแฟได้!

อย่างที่ทราบกันดีว่า การเปิดธุรกิจส่วนตัวอะไรสักอย่าง รวมถึงร้านกาแฟ คาเฟ่ต่างๆ ล้วนแต่ต้องใช้เงินทุน แต่สำหรับคนที่ไม่มีเงินทุนล่ะจะทำอย่างไรดี วันนี้เรามีทางมาให้! นั่นคือการกู้เงินเพื่อทำร้านกาแฟนั่นเอง! ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้ากู้แล้วอนุมัติได้ผ่านฉลุย ถึงแม้ว่าแต่ละสถาบันการเงินก็จะมีสินเชื่อนี้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสมหวัง ดังนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำเคล็ดลับกู้เงินธนาคารอย่างไรให้เปิดร้านกาแฟได้!

1. มีแผนธุรกิจที่ปัง! ครบ! ชัดเจน!

แผนธุรกิจ คือแบบแผนที่ชัดเจน เป็นลายลักษณ์อักษร แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในธุรกิจกาแฟ โดยต้องผ่านการคิด วิเคราะห์ ศึกษาหาข้อมูล และคำนวณผลกำไรต่างๆ ซึ่งเราต้องเตรียมเอกสาร แผนธุรกิจที่ใช้ประกอบการพิจารณาสินเชื่อ ซึ่งในเอกสารนั้นเราจะต้องตอบคำถามและเตรียมตัว ซึ่งประกอบไปด้วย ธุรกิจของเรามีลักษณะในการดำเนินการอย่างไร, รายรับรายจ่ายของธุรกิจเรา, ลูกค้าของธุรกิจเราเป็นใคร, ผลกำไรของธุรกิจเท่าไร, และการดำเนินการธุรกิจในอนาคตจะทำอย่างไร

2. มีประสบการณ์

หากเราวาดฝันว่าเราทำร้านกาแฟนี้ได้ประสบความสำเร็จแน่ๆ โดยไม่มีหลักฐาน หรือคำพูดที่ชี้นำไปถึงความมั่นคง อาจทำให้เจ้าหน้าที่ตัดสิทธิ์ไม่อนุมัติได้ ดังนั้น การพิจารณาให้สินเชื่อส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บนฐานของการรับมือและการพยุงธุรกิจ ในขณะเดียวกัน สถาบันการเงินจะฟัง ดูรายได้ที่เราสามารถทำได้จากธุรกิจนี้ในแต่ละเดือน และพิจารณาความเสี่ยงว่า หากธุรกิจกาแฟของเรานั้นไปไม่รอด เราจะมีความสามารถในการคืนสินเชื่อให้ธนาคารได้หรือไม่ ถ้าได้ก็อนุมัติผ่านฉลุยเลย

3. มีหลักค้ำประกัน

หลักค้ำประกัน คือสิ่งที่ใช้มาเป็นหลักประกันสำหรับค้ำสินเชื่อเพื่อการกู้ อย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ที่ดิน อาคาร สิ่งปลูกสร้าง หรือแม้แต่เครื่องจักร และอุปกรณ์ทำกินต่างๆ เป็นต้น

4. เครดิตบูโรต้องดี

แน่นอนว่าด่านสุดท้ายคือประวัติการชำระหนี้ เพียงแค่การพูดคุย และนำเสนอเอกสารต่างๆ ไม่สามารถบอกถึงนิสัยการใช้เงินและความรับผิดชอบได้ ดังนั้นสถาบันการเงินจึงมีวิธีตรวจสอบการชำระหนี้ของเราผ่านเครดิตบูโร หากเครดิตดี รับรองว่ายังไงก็กู้ผ่านแน่นอน!!

ซึ่งนี่ก็คือ 4 เคล็ดลับกู้เงินธนาคารอย่างไรให้เปิดร้านกาแฟได้! อย่างเข้าใจง่ายๆ ให้ทุกคนได้ศึกษาและตระเตรียมเอกสารไว้ก่อนแต่เนิ่นๆ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา หากคุณกู้ผ่านแล้วและกำลังมองหาเมล็ดกาแฟที่ดี มีคุณภาพ อาราบิก้าแท้เกรมพรีเมี่ยม ต้องกาแฟ อะมา ปางขอนเลย!! https://www.amaexoticcoffee.com/ ????

Posted on

เครื่องชงกาแฟ Moka Potกับ French Press ต่างกันยังไง?

ควรเลือกแบบไหนดี?สำหรับมือใหม่ที่ชอบการดื่มกาแฟและสนใจอยากจะเริ่มต้นชงกาแฟสดดื่มเองที่บ้านก็คงจะกำลังมองหาเครื่องชงกาแฟเล็กๆ คุณภาพดีๆใช้งานง่ายไม่ซับซ้อนแบบที่เหมาะกับผู้เริ่มต้นสักอันเอาไว้ชงเองที่บ้านกันอยู่ซึ่งก็อาจจะประสบปัญหาในเรื่องของความสับสนและเลือกไม่ถูกว่าควรจะเลือกซื้อแบบไหนดี

เราเลยอยากจะมาแนะนำเครื่องชงกาแฟสองชนิดที่เหมาะกับมือใหม่สุดๆนั่น ก็คือ Moka Pot กับ FrenchPressนั่นเอง แต่ว่าทั้งสองแบบจะต่างกันยังไง หรือควรจะเลือกแบบไหนดี เราลองไปดูข้อมูลกันก่อนดีกว่า!

เครื่องชงกาแฟ Moka Pot

Moka Pot หรือก็คือเครื่องชงแบบกาต้มกาแฟ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอิตาลีโดยการชงจะใช้เวลาประมาณ 3-5 นาที ซึ่งก็ถือว่ารวดเร็วมากๆ
หลักการทำงานของเจ้าเครื่องนี้ จะมีความคล้ายกับ Espresso Machineถึงจะไม่ได้คุณภาพเท่ากัน 100% แต่ก็เรียกได้ว่าเหมือนกับมีเครื่องชง Espresso ขนาดเล็กอยู่ในบ้านเลยทีเดียว วิธีการทำงานของเครื่อง MokaPotจะเป็นการต้มน้ำ และกลั่นไอผ่านผงกาแฟ ขั้นตอนการใช้งานก็ไม่ซับซ้อนเหมาะกับมือใหม่มากๆ เริ่มจากใส่น้ำลงในกาต้มกาแฟจนถึงขีดที่มีแนะนำไว้ ถ้าอยากให้ใช้เวลาไวขึ้นก็สามารถใช้เป็นน้ำร้อนแทนได้ จากนั้นนำกาแฟสดที่บดไว้แล้วใส่ในกรวยกาแฟ
ประกอบทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วนำไปต้มด้วยความร้อนกลางๆ บนเตาแก๊ส เมื่อความร้อนได้ที่ไอน้ำก็จะดันผ่านผงกาแฟ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย!

เครื่องชงกาแฟ French Press

ส่วน French Press นั้นแค่เห็นชื่อก็คงจะเดากันได้แล้วว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศสเครื่องชงแบบฝรั่งเศสนี้มีลักษณะแบบลูกสูบซึ่งใช้เวลาการชงประมาณ 4 นาที
หลักการทำงานนั้นมีความเรียบง่ายมากๆโดยจะเป็นการชงกาแฟแบบเอาเมล็ดกาแฟแช่กับน้ำร้อนให้ชุ่มน้ำแล้วกด โดยวิธีนี้จะทำให้เราสกัดกาแฟได้อย่างสม่ำเสมอ เริ่มที่เราใช้ผงกาแฟที่บดไว้แบบหยาบมาใส่ในกระบอก Plunger ของเครื่อง เทน้ำร้อนจนท่วมผงกาแฟ ปิดฝาไว้ซัก 4 นาทีแล้วค่อยๆกดหัวปั้มลงไปให้ผงกาแฟที่ไม่ละลายไปอยู่ที่ใต้เครื่องชง แล้วเอากาแฟออกทันทีความเหมือนและความแตกต่าง?

ถ้าพูดถึงในเรื่องของระยะเวลาการชงของเครื่องชงกาแฟทั้งสองแบบนั้นต้องบอกเลยว่าใกล้เคียงแทบไม่แตกต่างกันมากนัก แถมทำง่ายสุดๆกันทั้งคู่เลยด้วย ไม่ต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์อะไรมากมายแต่ถ้าพูดถึงในเรื่องของรสชาตินั้น สำหรับ Moka Pot น้ำกาแฟที่ได้รับจะมีความใกล้เคียงกับการชงแบบ Espresso ก็คือรสชาติจะออกเข้มๆ ขมๆ หน่อย ในขณะที่แบบ French Press รสชาติจะอ่อนกว่า เป็นรสกลาง ๆ นุ่ม ๆ คล้าย Americano นั่นเองแต่วิธีการชงแบบ French Press ก็อาจทำให้เกิดผงกาแฟตกค้างบ้าง ส่วน MokaPot นั้นจะไม่มี

ควรเลือกแบบไหนดีที่สุด?

เชื่อว่าเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายๆคนก็คงจะมีเครื่องชงกาแฟที่รู้สึกถูกใจกันแล้วล่ะ เราอยากจะบอกว่าจริงๆเครื่องทั้งสองแบบก็ดีด้วยกันทั้งคู่ เหมาะกับทั้งมือใหม่และมือโปรที่อยากจะมีเครื่องชงกาแฟสดติดไว้ที่บ้าน แต่ถ้าใครยังไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหนก็ให้ลองนึกภาพว่า เราชอบวิธีการชงแบบไหนมากกว่าและรสชาติกาแฟที่เราชอบเป็นแบบไหนแค่นี้ก็จะได้เครื่องชงกาแฟที่ถูกใจแล้วล่ะเนอะ!

Posted on

รู้หรือไม่? กาแฟอาราบิก้าแท้รสชาติสุดพิเศษอยู่ที่ประเทศไทย!

เชื่อว่าทุกคนต้องเคยดื่มกาแฟกันอยู่แล้วแต่ก็อาจจะมีบางคนที่ไม่เคยรู้ว่ากาแฟที่ดื่มนั้นเป็นสายพันธุ์อะไร มีชื่อเรียกหรือมีที่มาที่ไปอย่างไร
ซึ่งในประเทศไทยเนี่ยก็มีการปลูกกาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจอยู่ในหลายๆ พื้นที่ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วนั้น กาแฟที่อยู่ในประเทศไทยจะแบ่งออกเป็นกาแฟราบัสต้า
(Robusta) และกาแฟอาราบิก้า (Arabica)ซึ่งเราจะมาเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวความเป็นมาของกาแฟอาราบิก้ากาแฟคุณภาพดีที่เป็นที่นิยมไปทั่วโลกกัน

ประวัติของกาแฟอาราบิก้า

อาราบิก้า เป็นสายพันธุ์กาแฟที่ถูกค้นพบและมีการปลูกมาอย่างยาวนานถิ่นกำเนิดเริ่มต้นของกาแฟอาราบิก้านั้นถูกค้นพบที่ประเทศเอธิโอเปียบนเขตพื้นที่สูงซึ่งอยู่ในทวีปแอฟริกา มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Coffea arabica L. เป็นที่นิยมไปทั่วโลกแบบที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจของโลกเลยทีเดียวโดยมีสัดส่วนของกาแฟอาราบิก้าประมาณ 70% ส่วนที่เหลืออีก 30%จะเป็นเมล็ดกาแฟโรบัสต้าและพันธุ์อื่นๆประวัติความเป็นมาของอาราบิก้านั้นก็มีเรื่องราวที่แตกต่างกันทั้งมีผู้พบเห็นกาแฟพันธุ์นี้เติบโตตามใต้ต้นอินทผลัมในประเทศเอธิโอเปียหรือจากชาวเขาในประเทศได้อพยพไปอยู่ที่ตะวันออกกลางและเอาเมล็ดกาแฟนี้ไปปลูกด้วย

เมื่อชาวเปอร์เซียมีอำนาจในตะวันออกกลางก็ได้ขับไล่ชาวเขากลับประเทศในขณะที่ต้นกาแฟอาราบิก้าก็ยังเติบโตต่อไปและขยายพันธุ์อยู่ที่แถบเชิงเขาของประเทศเยเมน หรืออีกเรื่องราวที่มีนักเดินทางจากประเทศอื่นๆได้นำเอาต้นกาแฟอาราบิก้าจากเอธิโอเปียและเยเมนไปปลูกยังประเทศตัวเองจนได้แพร่กระจายไปทั่วมุมโลกในที่สุด การปลูกกาแฟอาราบิก้าจากที่ได้เล่าไปว่ามีการค้นพบกาแฟอาราบิก้าในเขตพื้นที่สูง นั่นก็เป็นเพราะว่าการปลูกกาแฟอาราบิก้ามีข้อจำกัดตรงที่จะต้องปลูกบนพื้นที่สูงตั้งแต่ 800-1000 เมตรขึ้นไปเหนือระดับน้ำทะเล ยิ่งถ้าสูง 1000เมตรขึ้นไปจะยิ่งดีมากๆ ความลาดเอียงของพื้นที่ไม่เกิน 30%

นอกจากนี้แล้วยังต้องมีอุณหภูมิที่เย็นประมาณ 15-25 องศาเซลเซียสมีความชื้นสัมพัทธ์มากกว่า 60% ด้วยข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้ทำให้กาแฟอาราบิก้าเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีวิธีการปลูกรวมไปถึงการดูแลที่ค่อนข้างยากลำบาก ทุกๆอย่างในกระบวนการปลูกต้องออกมาเหมาะสมเพื่อให้รสชาติของกาแฟไม่ผิดเพี้ยนไป นอกจากนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อรสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟ เช่น ชนิดของดิน พื้นที่ความสูง อุณหภูมิ การดูแลรักษา และการเก็บเกี่ยวนั่นเอง

อะมา (AMA) กาแฟอาราบิก้าแท้ 100% ที่ปลูกในประเทศไทยสำหรับการปลูกกาแฟอาราบิก้าในประเทศไทยนั้นเริ่มจากโครงการหลวงพัฒนาชาวเขาที่ได้นำพันธุ์กาแฟอาราบิก้ามาปลูกในเขตที่สูงของไทยโดยมีกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ชาวบ้านได้ปลูกกาแฟทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งอะมา (AMA) เป็นแบรนด์กาแฟอาราบิก้าแท้ 100% ที่คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพจากการปลูกบนยอดเขาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า1,280 เมตร ไร้การรบกวนจากภายนอก และใช้ดินเขาปางขอนในการปลูกทำให้รสชาติที่ได้มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร มีความกลมกล่อม นุ่มและคงกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของกาแฟอาราบิก้าแท้