Posted on

ชอบดื่มกาแฟรสชาติไหน? รู้หรือไม่ รสชาติกาแฟที่ชอบบอกความเป็นตัวคุณได้

กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่มีหลายรสชาติ บางคนชอบดื่มแบบเข้มๆ กาแฟดำ ไม่ใส่นม ไม่ใส่น้ำตาล บางคนชอบกาแฟที่รสออกหวาน ซึ่งก็สามารถเลือกดื่มได้แล้วแต่ความชอบส่วนตัวเลย แต่รู้อะไรมั้ย ว่ารสชาติกาแฟที่คุณชอบดื่ม มันสามารถบอกความเป็นตัวตนของคุณได้ด้วย จะตรงมั้ยไปดูกัน

ชอบดื่มกาแฟรสขมจัดๆ

สำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟรสเข้ม ขมจัดๆ จะเป็นคนขยันขันแข็ง เอาการเอางาน ชอบวางแผนก่อนลงมือทำ ชอบคิดนู่นคิดนี่อยู่ตลอดเวลา มีหัวทางด้านธุรกิจ เป็นคนที่ชอบความท้าทาย แต่มักคิดเยอะจนเครียด ไม่ค่อยบอกความคิดความรู้สึกตัวเองกับใคร 

ชอบดื่มกาแฟรสอ่อนๆ

คนที่ชอบดื่มกาแฟรสอ่อนๆ ไม่ขมจัด เอาแค่กลิ่นเบาๆ มักจะเป็นคนที่รักความสงบ สบายกาย สบายใจ รักสุขภาพ ชอบดูแลตัวเอง ชอบความสะอาด อะไรรกหูรกตาไม่ได้เลย สายพ่อบ้านแม่บ้านทำความสะอาดเก่ง และยังเป็นคนที่ไม่ชอบทะเลาะกับใครโดยที่ไม่จำเป็น เคารพความคิดของคนอื่น

ชอบดื่มกาแฟรสหวานมัน

สำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟที่มีรสชาติเข้มข้น หวานมันมาเต็ม จะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความลับ ชอบความเปิดเผย ใจกว้าง รักความสนุกสนาน ร่าเริง ขี้แกล้ง ชอบสร้างรอยยิ้มให้คนรอบข้าง แต่ไม่ชอบการโดนเอาเปรียบ รักความยุติธรรมสุดๆ ถ้าใครมาเอาเปรียบไม่มีทางอยู่เฉยๆ แน่

ชอบดื่มกาแฟรสหวานจัด

สำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟที่มีรสหวานนำรสอื่นๆ หวานแบบหวานแหลมๆ เลยแสดงว่าเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนง่าย อ่อนไหว เปราะบาง มีชีวิตที่ค่อนข้างเพ้อฝัน อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม อยากเป็นคนสำคัญ แต่แนะนำว่าอย่าดื่มกาแฟที่หวานจัดบ่อยๆ เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพน้า

ชอบดื่มกาแฟที่มีกลิ่นหอมแรงๆ 

คนที่ชอบดื่มกาแฟที่มีกลิ่มหอมจัดๆ จะเป็นคนที่มีนิสัยช่างเลือก ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด มีความพิถีพิถันในการเลือกซื้อของ คือจับแล้วจับอีกจนกว่าจะได้ของที่ดีที่สุด เป็นคนรักเพื่อนฝูง มีทัศนะที่ชัดเจนจึงชอบอยู่กับคนที่มีนิสัยเหมือนกัน ทัศนะคติตรงกัน

Hidden Content

ชอบดื่มการแฟเย็น

สำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟเย็นๆ ไม่ชอบอะไรที่อุ่นๆ ร้อนๆ จะเป็นคนที่ไม่ชอบการอยู่คนเดียว ชอบมีเพื่อนเยอะๆ จะร่าเริงเวลาอยู่กับเพื่อน อยู่ใกล้ใครคนนั้นก็จะมีแต่ความสุข  ชอบการท่องเที่ยว พักผ่อน แต่ก็มีความทุ่มเทเมื่อถึงเวลาทำงาน

ชอบดื่มกาแฟร้อน

คนที่ชอบดื่มกาแฟที่มีอุณหภูมิร้อนมากๆ มักจะเป็นคนที่สนุกร่าเริง มีชีวิตชีวา กระฉับกระเฉง มีความกระตือรือร้น เข้ากับคนอื่นง่าย ปรับตัวเก่ง และยังชอบให้คำปรึกษาคนอื่นด้วย 

ตรงกันบ้างหรือเปล่าน้า? แต่ไม่ว่าจะชอบดื่มกาแฟรสชาติแบบไหน สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเลือกเมล็ดกาแฟคั่วที่มีคุณภาพ อย่างแบรนด์ “อะมา” กาแฟชนิดพิเศษของไทยที่หาดื่มได้ยาก ให้รสชาติที่แตกต่าง แต่ลงตัว นุ่มนวล กลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ จากดินเขาปางขอนซึ่งเป็นแหล่งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ปลูกบนยอดเขาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 1,280  เมตร ไร้การรบกวนจากภายนอก แล้วกาแฟแก้วโปรดของคุณจะอร่อยขึ้นยิ่งกว่าเดิม สามารถสั่งซื้อได้ที่ https://www.amaexoticcoffee.com/ 

Posted on

การชั่งกาแฟด้วยเครื่องชั่งดิจิตอลสำคัญแค่ไหน? ทำไมต้องทำ?

ช่วงนี้หลายคนหันมาทำกาแฟดื่มเองกันเยอะ คอกาแฟที่เพิ่งเริ่มเข้ามาในวงการนี้ เวลาไปตามร้านกาแฟ หรือเวลาที่ดู Youtube แล้วเห็นมืออาชีพเค้าชั่งเมล็ดกาแฟ หรือ Shot กาแฟ ด้วยเครื่องชั่งดิจิตอล เคยสงสัยกันบ้างมั้ยว่าทำไมต้องจริงจังอะไรขนาดนั้น  แล้วถ้าสมมติว่าไม่ชั่งล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น แล้วถ้าจะเลือกซื้อเครื่องชั่งดิจิตอลต้องดูอะไรบ้าง วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบ

ทำไมต้องตวงชั่งเมล็ดกาแฟ หรือ Shot กาแฟ?

สาเหตุที่ต้องตวงชั่งเมล็ดกาแฟ หรือ Shot กาแฟ ก็เพราะการชงกาแฟให้ได้รสชาติที่เสถียร หรือคงที่ทำได้ยาก ต้องอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมเป็นเวลานานจึงจะคงที่ แต่ถึงอย่างนั้น การจะกะหรือวัดน้ำหนักของกาแฟด้วยตาเปล่าให้ตรงเป๊ะเป็นไปได้ยาก ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้นะ แต่คนที่จะทำได้มีน้อย ดังนั้นเพื่อรสชาติที่คงที่ ได้มาตรฐาน จึงต้องมีการตวง ชั่งเมล็ดกาแฟ หรือ Shot กาแฟก่อน เป็นการควบคุมคุณภาพอย่างหนึ่ง

แล้วทำไมต้องใช้เครื่องชั่งดิจิตอล?

โดยปกติร้านที่ขายกาแฟจำพวก Espresso จะใช้แก้วตวงในการวัดปริมาตรของน้ำกาแฟ เนื่องจากจะตรงตามสูตรในการทำทุกครั้งอยู่แล้ว ลูกค้าจะได้กาแฟในปริมาณเท่าเดิมทุกครั้ง แต่บางครั้งแก้วตวงอาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนได้ เพราะมือแต่ละคนไม่เท่ากัน การมองเส้นวัดก็ไม่เท่ากัน การตวง และชั่งกาแฟโดยใช้น้ำหนักจึงให้ความแม่นยำได้มากกว่า และจะทำให้รู้สึกถึงความเข้มข้นของการสกัดกาแฟด้วย เช่น กาแฟ 2 แก้ว ปริมาตรเท่ากัน อาจมีน้ำหนักที่ไม่เท่ากันก็ได้ เนื่องจากน้ำกาแฟที่มีความเข้มข้นมากกว่าจะมีน้ำหนักที่มากกว่า ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเทน้ำ ระดับการบด เป็นต้น ดังนั้นการชั่งให้น้ำหนักกาแฟเท่ากันมากที่สุด จะทำให้สามารถควบคุมคุณภาพของกาแฟได้ทุกแก้ว กาแฟทุกแก้วที่ได้จะมีรสชาติใกล้เคียงกัน

เครื่องชั่งดิจิตอลดียังไง?

  1. มีความแม่นยำ รวดเร็ว และมีความละเอียดสูง ปกติน้ำหนักกาแฟที่ใช้เป็นน้ำหนักที่ไม่มาก การใช้เครื่องชั่งแบบเข็มอาจทำให้ดูยาก
  2.  เครื่องชั่งดิจิตอลมีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย บางรุ่นสามารถใช้จับเวลาได้ด้วย 
  3.  เครื่องชั่งดิจิตอลสามารถตัดน้ำหนักของภาชนะที่ใส่ออกได้เลย ไม่ต้องมาบวกลบทีหลัง
  4.  แสดงหน่วยการชั่งที่หลากหลาย เช่น กรัม (g), ออนซ์ (oz), ปอนด์ (Ib), กิโลกรัม (Kg) เป็นต้น
Hidden Content

จะซื้อเครื่องชั่งดิจิตอลต้องเลือกยังไง?

  1. ดูรายละเอียดของเครื่องชั่งว่าชั่งได้สูงสุดเท่าไหร่ เหมาะสมกับการใช้งานหรือไม่
  2. เลือกจุดทศนิยมให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น 1 g, 0.1 g, 0.01 g อยากได้ความแม่นยำระดับไหนเลือกได้เลย
  3. เลือกที่มีคุณภาพ มีมาตรฐาน
  4. ดูฟังก์ชันเพิ่มเติม เช่น ควรมีนาฬิกาจับเวลาหากจะทำกาแฟแบบดริป

นอกจากการตวง หรือชั่งกาแฟด้วยเครื่องชั่งดิจิตอลจะช่วยควบคุมคุณภาพและรสชาติของกาแฟแล้ว การเลือกเมล็ดกาแฟที่ดีก็จะช่วยให้กาแฟของคุณมีคุณภาพมากขึ้นไปอีก หากคุณกำลังมองหาเมล็ดกาแฟที่ดี มีคุณภาพ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราขอแนะนำเมล็ดกาแฟของเรา แบรนด์ “อะมา”  ที่พิถีพีถันในทุกขั้นตอนจนเป็นกาแฟชนิดพิเศษแบบ Exotic ให้รสชาติ นุ่มนวล กลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ จากดินเขาปางขอน สนใจสั่งซื้อได้ที่ https://www.amaexoticcoffee.com/ 

Posted on

กาแฟดำ กับ โอเลี้ยง ความคล้ายที่แตกต่าง

เวลาเดินไปสั่งเครื่องดื่มไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟสดหรือกาแฟโบราณ เคยสงสัยเกี่ยวกับเมนูที่มันคล้ายๆ กันอย่างกาแฟดำ กับ โอเลี้ยงบ้างหรือป่าว บางร้านเหมือนกันจนแทบจะแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ เชื่อว่ามีหลายคนที่คิดว่าทั้งสองเมนูนี้เหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วทั้งกาแฟดำและโอเลี้ยงไม่เหมือนกันเลย แล้วทั้งสองเมนูนี้ต่างกันยังไง วันนี้เราจะพาไปทำความเข้าใจกัน

กาแฟดำคืออะไร?

กาแฟดำ หรือที่หลายๆ คนเรียกว่าอเมริกาโน่ มันก็คือกาแฟที่ไม่ใส่นม ไม่ใส่น้ำตาล แต่ถ้าใครติดรสหวานก็สามารถเติมน้ำตาลเพิ่มได้ ซึ่งสามารถดื่มได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น อเมริกาโน่จะเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟดำแต่ไม่เข้มมากนัก

กาแฟดำมีวิธีการชงยังไง?

อเมริกาโน่จะชงด้วยการนำเอสเปรสโซ่ 1 ช็อต มาเติมน้ำเพื่อให้เจือจาง อัตราส่วนของน้ำร้อนจะขึ้นอยู่กับสูตรของแต่ละที่ แต่โดยปกติถ้าไม่อยากให้รสชาติของกาแฟอเมริกาโน่เจือจางเกินไปก็จะผสมกันที่อัตราส่วน 1 : 1 ซึ่งสามารถดื่มได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น

โอเลี้ยงคืออะไร?

โอเลี้ยงเป็นเครื่องดื่มที่มาจากประเทศจีน เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว ซึ่งคำว่า “โอ” แปลว่า ดำ และคำว่า “เลี้ยง” แปลว่า เย็น นั่นก็หมายถึงเครื่องดื่มที่ดำและเย็นนั่นเอง โอเลี้ยงก็ชงมาจากกาแฟเหมือนกัน แต่จะไม่ใช่กาแฟคั่วบดทั่วไป จะใช้เป็นผงกาแฟที่ใช้ชงแบบโบราณ กรรมวิธีในการผลิตผงกาแฟโบราณคือการนำเอาเมล็ดกาแฟมารวมกับเม็ดมะขามคั่ว เมล็ดข้าวโพด และส่วนผสมอื่นๆ อีกหลายอย่าง จากนั้นก็นำส่วนผสมทั้งหมดไปคั่วในกระทะ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากๆ โอเลี้ยงจะอร่อยหรือไม่อร่อยขึ้นอยู่กับขั้นตอนนี้เลย บางร้านจะเติมเนยและน้ำตาลลงไปด้วยเพื่อเพิ่มความหอม ทำให้ได้กลิ่นเหมือนคาราเมล จากนั้นก็นำไปบด เพื่อใช้ในการชงโอเลี้ยง

โอเลี้ยงมีวิธีการชงยังไง?

วิธีการชงโอเลี้ยงคือ นำผงกาแฟโบราณใส่ในถุงกาแฟ จากนั้นเติมน้ำร้อนที่ต้มจนเดือดลงไป เขย่าเล็กน้อยเพื่อให้น้ำร้อนโดนกาแฟทั่วถึง จากนั้นทิ้งไว้ 7-10 นาที จะได้น้ำกาแฟเข้มข้น เติมน้ำตาลได้ตามความชอบ โดยส่วนใหญ่โอเลี้ยงจะกินแบบเย็น

Hidden Content

แล้วกาแฟดำกับโอเลี้ยงต่างกันยังไง?

ข้อแตกต่างของเครื่องดื่มทั้งสองชนิดนี้ก็คือ ส่วนประกอบของผงกาแฟที่ใช้ในการชงนั่นเอง อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า กาแฟดำหรืออเมริกาโน่จะชงจากเมล็ดกาแฟคั่วบดอย่างเดียวไม่มีอย่างอื่นผสม คั่วเมล็ดกาแฟอย่างเดียวเพียวๆ ต่างจากโอเลี้ยงที่คั่วเมล็ดกาแฟรวมกับส่วนผสมอย่างอื่น มีการเติมน้ำตาลและเนยเพื่อเพิ่มความหอม และด้วยส่วนผสมที่ต่างกัน ทำให้รสชาติและกลิ่นของเครื่องดื่มทั้งสองอย่างแตกต่างกันด้วย ถ้าวางคู่กันก็ไม่ต้องกลัวจะแยกไม่ออก เพราะแค่กลิ่นก็สามารถแยกออกได้แล้ว

แต่ไม่ว่าเครื่องดื่มทั้งสองชนิดจะแตกต่างกันมากแค่ไหน ส่วนผสมหลักก็ยังคงเป็นเมล็ดกาแฟ ซึ่งถ้าเลือกเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพก็จะยิ่งทำให้เครื่องดื่มทั้งสองชนิดนี้อร่อยมากยิ่งขึ้น เมล็ดกาแฟ “อะมา” เมล็ดกาแฟคุณภาพสูงจากชนเผ่าอาข่า บ้านปางขอน เมล็ดกาแฟอาราบิก้าแท้ ที่มีลักษณะรสชาติพิเศษไม่เหมือนใคร หาดื่มได้ยาก มีรสชาตินุ่มนวล กลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ พิถีพิถันในทุกขั้นตอนจนได้กาแฟชนิดพิเศษแบบ Exotic สนใจสามารถสั่งซื้อได้ที่ https://www.amaexoticcoffee.com/

Posted on

Espresso หัวเชื้อกาแฟเข้มข้น ต้นกำเนิดกาแฟหลากรสชาติ

ไม่ว่าจะเป็นคนดื่มกาแฟ ไม่ดื่มกาแฟ ยังไงก็ต้องรู้จัก Espresso เพราะเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของกาแฟชนิดอื่นๆ อย่างที่รู้ๆ กันว่าไม่ว่าจะเมนูไหนๆ ก็จะมีเบสหลักเป็น Espresso คือถ้าหัวเชื้อไม่ดี กาแฟแก้วนั้นก็ยากที่จะทำให้รสชาติออกมาดี วันนี้เรามีเรื่องราวเกี่ยวกับ Espresso มาฝาก ไปดูกันว่า Espresso ที่ดีควรเป็นแบบไหน

Espresso คืออะไร?

เป็นกาแฟชนิดหนึ่ง สกัดจากกาแฟคั่วบด วิธีทำ Espresso คือ นำเมล็ดกาแฟสดที่ผ่านการบดอย่างละเอียดมาอัดใส่ก้านชงกาแฟให้มีความหนาแน่นพอเหมาะ จากนั้นเข้าสู่กรรมวิธีการชงด้วยน้ำร้อนที่แรงดันสูงในระยะเวลาที่พอดี จนได้ช็อตกาแฟที่มีความเข้มข้น พร้อมฟองกาแฟที่เรียกว่า “ครีม่า” Espresso ที่ดีต้องมีความเข้มข้นพอเหมาะและไม่ขมจนเกินไป 

Espresso shot คืออะไร?

Espresso shot คือ การสกัดกาแฟด้วยความร้อน โดยใช้เมล็ดกาแฟ 7 กรัม ให้ได้น้ำกาแฟ 30 cc หรือ 1 oz ดูเหมือนจะง่าย แต่จริงๆ แล้วมีรายละเอียดอีกมากมายเพื่อให้ Espresso เป็น Perfect Shot

Perfect Shot คืออะไร?

ใช้เรียก Espresso ที่ชงแล้วไม่มีการผิดพลาดระหว่างขั้นตอนต่างๆ สกัดออกมาแล้วได้สีที่สวยไม่มีการไหม้ของกาแฟ รสชาติของ Espresso ที่เป็น Perfect Shot จะต้องมี 3 อย่าง คือ กลิ่นหอม รสขม แและรสหวาน ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งแสดงว่ายังไม่ใช่ Perfect Shot น้า

การกดผงกาแฟที่ดีควรเป็นอย่างไร?

การกดผงกาแฟที่ดีควรใช้แรงอยู่ที่ 156.96-196.2 N หรือ 16-20 kg ซึ่งปกติจะสามารถกดได้ 2 แบบ คือการใช้ Tamper (ที่กดผงกาแฟ) และที่กดผงกาแฟแบบติดกับตัวเครื่องบดเมล็ดกาแฟ ซึ่งในปัจจุบันมี Tamper Spring ที่สามารถคุมแรงการกด Tamper ได้ ทำให้สามารถกดผงกาแฟได้ตามแรงที่กำหนด

เครื่องชงกาแฟ Espresso ควรมีแรงดันเท่าไหร่?

เครื่องชงกาแฟ Espresso ควรมีแรงดันประมาณ 9 bars หากความดันสูงกว่านั้นจะทำให้อุณหภูมิของน้ำร้อนจนเกินไป และกาแฟจะไหม้ได้

Hidden Content

อุณหภูมิน้ำที่เหมาะสมที่สุดอยู่ที่เท่าไหร่?

อุณหภูมิน้ำที่เหมาะสมในการชง Espresso จะอยู่ที่ 90-93 องศาเซลเซียส

ปัญหาที่มักพบในการชง Espresso และวิธีการแก้ไข

Espresso shot ขมเกินไป

สาเหตุ : สกัดกาแฟเข้มเกินไป คั่วกาแฟไหม้

วิธีแก้   : ลดอุณหภูมิของน้ำ หรือลดเวลาที่ใช้ในการชง เลือกเมล็ดกาแฟที่คั่วในระดับที่อ่อนลง

Espresso shot มีรสเปรี้ยวมาก

สาเหตุ : อุณหภูมิของน้ำ และแรงดันของเครื่องชงน้อยเกินไป เมล็ดกาแฟที่ใช้เป็นแบบคั่วอ่อน

วิธีแก้   : เพิ่มอุณหภูมิของน้ำ หรือเพิ่มเวลาที่ใช้ในการชง เลือกใช้เมล็ดกาแฟที่คั่วเข้มขึ้น

Espresso shot เจือจาง ไม่เข้มข้น

สาเหตุ : เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ให้กาแฟน้อย บดกาแฟหยาบเกินไป กดกาแฟไม่แน่น

วิธีแก้   : เพิ่มกาแฟให้มากขึ้น บดกาแฟให้ละเอียดขึ้น และกดกาแฟให้แน่นขึ้น

เห็นแบบนี้การจะทำให้ Espresso เป็น Perfect Shot ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ความชำนาญ ฝึกฝน และเรียนรู้ทั้งตัวเครื่องชง เมล็ดกาแฟ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วย ซึ่งการเลือกใช้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพจะช่วยให้ Espresso เป็น Perfect Shot ได้ง่ายขึ้น “อะมา” เมล็ดกาแฟอะราบิก้าสดๆ ใหม่ๆ จากปางขอน ผ่านกรรมวิธีที่พิถีพิถันและใส่ใจของชาวเขาเผ่าอาข่า รับประกันเรื่องรสชาติ หอม นุ่ม ถูกใจคอกาแฟอย่างแน่นอน สนใจสั่งซื้อเมล็ดกาแฟคุณภาพสูงได้ที่ https://www.amaexoticcoffee.com/

Posted on

เอาใจคอกาแฟสายมู กาแฟแก้วไหนเหมาะกับราศีของคุณ?

กาแฟกับดวงประจำราศี ดูจะเป็นอะไรที่ไม่ใกล้กันเอาซะเลย แต่เชื่อหรือไม่ว่าทั้งสองอย่างนี้มีความเชื่อมโยงกันอยู่ วันนี้ขอเอาใจคอกาแฟสายมู ด้วยการพาไปดูว่าแต่ละราศีเหมาะกับกาแฟแบบไหน ถือเป็นการเสริมดวงให้ดีขึ้น ของแบบนี้บอกไว้ก่อนเลยว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ มูเตลู ไม่เข้าใครออกใครน้า

ชาวราศีกุมภ์ (20 มกราคม – 18 กุมภาพันธ์)

ชาวราศีกุมภ์เป็นคนขี้สงสัย ชอบการคิดค้น ชอบทดลอง มีความคิดสร้างสรรค์ ละเอียดรอบคอบ ไม่ชอบอะไรเดิมๆ ซ้ำซากจำเจ เหมาะกับ กาแฟ Cold Brew 

ชาวราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ – 20 มีนาคม)

ชาวราศีมีนเป็นคนช่างฝัน รักความสนุกสนาน แต่ถึงจะเป็นคนช่างฝันแต่ก็สามารถจัดการกับความเป็นจริงได้ เหมาะกับอัฟโฟกาโต กาแฟเข้มๆ กับไอศกรีมวานิลลาหวานๆ เย็นๆ

ชาวราศีเมษ (21 มีนาคม – 19 เมษายน)

ชาวราศีเมษชอบการเดินทาง ท่องเที่ยว รักการผจญภัย ชอบกีฬาโลดโผน พร้อมลุย มีความทะเยอทะยาน แต่มีความอดทนต่ำ เหมาะกับ ลาเต้มัคคิอาโต้

ชาวราศีพฤษภ (20 เมษายน – 20 พฤษภาคม)

ชาวราศีพฤษภเป็นคนมุ่งมั่น รักเดียวใจเดียว แต่แอบหัวโบราณ ไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลง ตั้งใจทำสิ่งที่ได้รับมอบหมาย เหมาะกับกาแฟโบราณ

ชาวราศีเมถุน (21 พฤษภาคม – 21 มิถุนายน)

ชาวราศีเมถุนเป็นมนุษย์สังคม ชอบพบปะผู้คน มีความเจ้าชู้ มีความโลเล เปลี่ยนใจง่าย ไม่ชอบอะไรจำเจ เหมาะกับเปปเปอร์มิ้นท์มอคค่า หรือลาเต้กลิ่นมิ้นท์

ชาวราศีกรกฎ (22 มิถุนายน – 22 กรกฎาคม)

ชาวราศีกรกฎเป็นคนเชื่อคนง่าย มีความอ่อนไหว ไม่ชอบการหลอกลวง  แต่ใสซื่อจนมักถูกหลอกใช้ เหมาะกับ กาแฟคั่วเอง ให้ความเป็นธรรมชาติ

Hidden Content

ชาวราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม – 22 สิงหาคม)

ชาวราศีสิงห์เป็นคนตรงไปตรงมา ชอบความท้าทาย ความตื่นเต้น นำแฟชั่น นำสมัย ไม่ชอบความล้าหลัง เหมาะกับกอร์ตาโด กาแฟเข้มๆ ตัดกับนมสดเล็กน้อย

ชาวราศีกันย์ (23 สิงหาคม – 22 กันยายน)

ชาวราศีกันย์เป็นคนชอบความสมบูรณ์ รักครอบครัว รักธรรมชาติ ไม่ชอบรับรู้ข้อมูล ยึดมั่นในวัฒนธรรม เหมาะกับกาแฟออร์แกนิค ความแปลกที่ไม่เหมือนใคร

ชาวราศีตุลย์ (23 กันยายน – 22 ตุลาคม)

ชาวราศีตุลย์เป็นคนที่รักความยุติธรรม จริงใจ ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์มากๆ ทำผิดจะยอมรับ แต่ถ้าไม่ผิดก็จะสู้จนถึงที่สุด  เหมาะกับคาเฟ่โอเล่ กาแฟใส่นม รสนุ่มสไตล์ฝรั่งเศส

ชาวราศีพิจิก (23 ตุลาคม – 21 พฤศจิกายน)

ชาวราศีพิจิกเป็นคนยิ้มแย้มสดใส อ่อนหวาน เก็บความรู้สึกเก่ง ซับซ้อน เหนื่อยแค่ไหนก็สู้ด้วยรอยยิ้ม มีอารมณ์ลุ่มลึกยากจะคาดเดา เหมาะกับอเมริกาโน่

ชาวราศีธนู (22 พฤศจิกายน – 21 ธันวาคม)

ชาวราศีธนูชอบความท้าทาย ไม่ชอบการผูกมัด ช่างสงสัย ช่างสังเกต อยู่นิ่งๆ ได้ไม่นาน ไม่ชอบให้ใครมากำกับชีวิต ชอบอยู่กับปัจจุบัน เหมาะกับเอสเปรสโซ่

ชาวราศีมังกร  (22 ธันวาคม – 19 มกราคม)

ชาวราศีมังกรเป็นคนเจ้าระเบียบ ซื่อสัตย์ ใจดี อบอุ่น มักเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นๆ  ชาวราศีมังกรมีรสนิยมที่ดี ชอบความโรแมน

ติก ชอบการเซอร์ไพรส์ ชอบสิ่งแปลกใหม่ เหมาะกับลาเต้ที่นุ่มนวล

ไม่ว่ากาแฟแก้วโปรดของคุณจะตรงกับราศีหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดเรื่องไม่ดีอะไร มันอยู่ที่ความชอบส่วนตัวอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกาแฟแบบไหน ก็กลายเป็นกาแฟแก้วพิเศษได้ เพียงแค่คุณเลือกใช้เมล็ดกาแฟ “อะมา” เมล็ดกาแฟคุณภาพจากปางขอน กาแฟอาราบิก้าแท้ ให้รสชาติพิเศษ นุ่มนวล กลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ สั่งซื้อได้ที่ https://www.amaexoticcoffee.com/

Posted on

ห้ามพลาด 6 เมนูเด็ดที่มักเสิร์ฟพร้อมกาแฟ เข้าก๊านเข้ากัน ฟินลืมไปเลย

เวลาเดินเข้าร้านกาแฟ หรือคาเฟ่ เชื่อว่าหลายคนไม่สั่งกาแฟแค่แก้วเดียวแน่ๆ มันต้องมีขนม ของกินเล่นติดไม้ติดมือมาบ้าง ซึ่งกาแฟขมๆ ได้กินคู่กับขนมหวานๆ มันคงสดชื่น ฟินน่าดู เชื่อเถอะว่ากาแฟกับขนมมันถูกสร้างให้มาคู่กัน วันนี้จะพาไปดู 6 เมนูยอดฮิตที่เหมาะกับการทานคู่กับกาแฟ จะมีอะไรบ้าง ตามไปดูกัน รับรองว่าเด็ดแน่นอน

วาฟเฟิล

เริ่มที่เมนูแรกนั่นก็คือวาฟเฟิล ขนมอบที่ให้ทั้งความกรอบและความนุ่มในเวลาเดียวกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่วาฟเฟิลจะเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำผึ้ง ไซรัป หรือผลไม้สด ทานคู่กับกาแฟดำร้อนๆ เข้ากันสุดๆ แถมยังอยู่ท้องอีกด้วย เหมาะกับการทานเป็นมื้อเช้า

มัฟฟิน

มัฟฟินเป็นเบเกอรี่ที่น่าสนใจอีกตัว ขนมอบก้อนกลมๆ ที่ทำมาจากแป้ง เนยและนม  ในปัจจุบันมัฟฟินมีการสอดไส้ด้วยส่วนผสมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มัฟฟินบลูเบอร์รี มัฟฟินช็อกโกแลตเพื่อเพิ่มความอร่อย ก่อนทานให้อุ่นเล็กน้อย ทานคู่กับกาแฟเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

แซนด์วิช

เป็นเมนูเร่งด่วนที่แสนจะง่าย คนส่วนใหญ่จึงนิยมทานแซนด์วิชกับกาแฟเป็นมื้อเช้า แซนด์วิชที่นิยมรับประทานคู่กับกาแฟนั้นมักเป็นแซนด์วิชแฮมชีส แซนด์วิชไข่เบค่อน หรือใครจะชอบไส้อื่นก็สามารถใส่ตามใจชอบเลย ทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้เวลามาก ที่สำคัญอยู่ท้องและให้พลังงานเพียงพอต่อการทำงานทั้งวัน

สโคน

เป็นขนมอบชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากๆ ในฝั่งยุโรป ให้สัมผัสกึ่งกรอบ กึ่งนุ่ม เนื้อร่วน ตัวขนมทำจากแป้งสาลี ไข่ เนย น้ำตาล นมสด สโคนจะทำให้มีรสชาติไม่หวาน เวลาจะทาน หลังจากอุ่นแล้ว ให้ใช้มีดผ่ากลาง แล้วทาครีม ตามด้วยแยม ทานคู่กับกาแฟ จะให้รสชาติที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว

Hidden Content

คุกกี้

เป็นขนมอีกหนึ่งอย่างที่นิยมทานคู่กับกาแฟมากๆ ซึ่งคุกกี้มีหลายชนิด ทั้ง คุกกี้ช็อกโกแลตชิพ คุกกี้ข้าวโอ๊ต ซอร์ฟคุกกี้ และไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ชนิดไหนก็เข้ากับกาแฟได้อย่างน่าประหลาด และความหลากหลายของคุกกี้จึงทำให้สามารถทานได้บ่อยๆ ไม่มีเบื่อ

เค้ก

และอย่างสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลย นั่นก็คือ เค้กนั่นเอง ถ้าบอกว่าคุ้กกี้มีหลายชนิดแล้ว เค้กมีหลายชนิดกว่า แถมยังมีหลายสัมผัส ทั้งเนื้อนุ่ม เนื้อแน่น ร้านกาแฟไหนที่ไม่มีเค้กขายนี่ถือว่าผิดมากๆ สัมผัสนุ่มๆ รสหวานๆ ของเค้ก ตัดกับกลิ่นหอมๆ และรสขมของกาแฟ พลาดไม่ได้เลย

ถ้าเลือกขนมได้แล้ว ก็อย่าลืมเลือกเมล็ดกาแฟคุณภาพดีอย่างเมล็ดกาแฟแบรนด์ “อะมา” เพื่อให้การดื่มกาแฟของคุณอร่อยมากยิ่งขึ้น ด้วยเมล็ดกาแฟอาราบิก้าแท้ๆ ผลผลิตจากความตั้งใจของชาวเขาเผ่าอาข่า ปลูกในแหล่งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ บนยอดเขาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 1,280  เมตร ไร้การรบกวนจากภายนอก พิถีพีถันในทุกขั้นตอนจนเป็นกาแฟชนิดพิเศษแบบ Exotic ให้รสชาติ นุ่มนวล กลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใครแน่นอน สนใจสามารถเลือกซื้อเลือกหากันได้ที่ https://www.amaexoticcoffee.com/

Posted on

น้ำ ส่วนประกอบสำคัญในการสร้างสรรค์กาแฟแก้วโปรด

ถ้าถามว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการชงกาแฟคืออะไร เชื่อว่าหลายคนน่าจะตอบว่า “เมล็ดกาแฟ” ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่คำตอบที่ผิด แต่เราไม่สามารถลิ้มรสของกาแฟทั้งๆ ที่ยังเป็นผงได้ ส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ นั่นก็คือ “น้ำ” ซึ่งกาแฟหนึ่งแก้วมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักเลยด้วยซ้ำ แต่น่าแปลกที่หลายๆ คนมักมองข้าม “ใช้น้ำอะไรก็เหมือนกันแหละ” บอกเลยว่าความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่ผิด ผิดยังไงไปดูกัน

ในกาแฟ Espresso หนึ่งแก้วมีน้ำอยู่ประมาณ 90% และในกาแฟ Slow bar  มีน้ำอยู่ประมาณ 98% ทำให้น้ำกลายเป็นส่วนประกอบหลักและเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อรสชาติของกาแฟ ซึ่งโดยปกติที่เราเรียนกันมา น้ำ จะเป็นของเหลว ใส ที่ ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่มีรสชาติ แต่ในชีวิตประจำวันน้ำที่ถูกใช้บริโภคจะมีสิ่งเจือปนที่เรียกว่า Impurity โดยสิ่งเจือปนจะปะปนไปกับน้ำที่เราเรียกว่า Dissolved Solid ซึ่งบางชนิดจะส่งผลต่อรสชาติของกาแฟ

น้ำประเภทไหนเหมาะแก่การชงกาแฟที่สุด?

น้ำที่เหมาะกับการชงกาแฟมากที่สุดคือน้ำกรอง ซึ่งควรมีค่า TDS และค่า pH อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป

ค่า TDS คืออะไร?

ค่า TDS (Totel Dissolved Solids) เป็นค่าปริมาณของของแข็งที่แขวนลอยหรือละลายอยู่ในน้ำรวมถึงไอออน แร่ธาตุเกลือ หรือโลหะละลายในปริมาณที่กำหนดของน้ำ ซึ่งเป็นค่าที่มีผลต่อรสชาติของกาแฟ ค่าที่เหมาะสมต่อการนำมาใช้ต้มกาแฟ ควรจะอยู่ระหว่าง 125-175 ppm. สำหรับเครื่องชง Espresso จะอยู่ที่ 50-100 ppm.  ถ้าค่า TDS ต่ำเกินไป จะทำให้กาแฟมีรสขมเฝื่อน คล้ายการสกัดชงที่นานเกินไป แต่ถ้าค่า TDS เกิน 300 ppm. จะทำให้กาแฟมีรสชาติคล้ายมีโลหะผสมอยู่ รสชาติเหมือนผ่านการชงที่เร็วเกินไป

ค่า pH คืออะไร?

ค่า pH เป็นค่าที่แสดงความเป็นกรด-เบส โดยค่า pH จะอยู่ในช่วง 1-14 ถ้าค่า pH น้อยกว่า 7 จะมีฤทธิ์เป็นกรด และถ้าค่า pH มากกว่า 7 จะมีฤทธิ์เป็นเบสหรือด่าง โดยปกติแล้วค่า pH ของกาแฟที่ผ่านการชงแล้วจะอยู่ในช่วง 4–7 ขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟ

ส่วนน้ำที่นำมาชงกาแฟควรมีค่า pH ประมาณ 7 หรือบวกลบได้เล็กน้อยเพื่อไม่ให้รสชาติของกาแฟถูกผลกระทบจากความเป็นกรดหรือด่างของน้ำ

อุณหภูมิของน้ำในการชงกาแฟเท่าไหร่ถึงจะดี?

ควรใช้น้ำที่มีอุณหภูมิ 91-96 องศาเซลเซียส ถ้าใช้น้ำอุณหภูมิสูงตั้งแต่ 100 องศาเซลเซียสขึ้นไป จะทำให้กาแฟขมเกินไป และถ้าต่ำกว่า 91 องศาเซลเซียส จะทำให้การสกัดกาแฟได้รสชาติอ่อนเกินไป

ใช้น้ำกลั่นชงกาแฟได้มั้ย?

ไม่แนะนำให้ใช้น้ำกลั่น เพราะจะไม่มีแร่ธาตุ ซึ่งแร่ธาตุของน้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปฏิกิริยากับการสกัดกาแฟ อีกทั้งน้ำกลั่นที่มีความเป็นกรดหรือด่างสูงจะส่งผลเสียต่อเครื่องชงกาแฟด้วย

พอบอกว่าน้ำเป็นส่วนสำคัญในการชงกาแฟ ก็อย่าหันมาเลือกน้ำที่ใช้อย่างเดียวจนลืมเลือกเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพด้วยน้า ทั้งสองอย่างมันต้องมาพร้อมๆ กัน ต้องพิถีพิถันในการเลือก เหมือนกับที่ชาวเผ่าอาข่า บ้านปางขอนพิถีพิถันในการผลิตเมล็ดกาแฟ “อะมา” ใส่ใจทุกขั้นตอนจนได้เมล็ดกาแฟชนิดพิเศษแบบ Exotic สนใจสั่งซื้อได้ที่ https://www.amaexoticcoffee.com/ 

Posted on

บดการแฟสำคัญยังไง ระดับการบดกาแฟที่เหมะสมกับการชงแบบต่างๆ

การจะชงกาแฟสักแก้วให้ได้กลิ่มและรสชาติที่ถูกใจ มีปัจจัยหลายๆ อย่าง ซึ่งหัวใจสำคัญก็คือการบดกาแฟ เพราะกาแฟแต่ละชนิดและเครื่องชงกาแฟแต่ละประเภทใช้กาแฟที่มีความละเอียดที่แตกต่างกัน อีกทั้งการบดกาแฟในแต่ละระดับก็ให้ความหอมและรสชาติที่ต่างกันด้วย วันนี้เราขอพาไปเจาะลึกเรื่องของการบดกาแฟว่าการบดแต่ละระดับมีลักษณะอย่างไร และเครื่องบดกาแฟมีแบบไหนบ้าง

การบดกาแฟมีกี่ระดับ? 

การบดกาแฟมีทั้งหมด 4 ระดับ ก็คือ

1. บดหยาบ  ผงกาแฟมีลักษณะเป็นเกล็ดใหญ่ สัมผัสแล้วรู้สึกเหมือนกรวดทราย

2. บดปานกลาง ผงกาแฟมีความละเอียด สัมผัสแล้วรู้สึกคล้ายเม็ดทราย

3. บดละเอียด  ผงกาแฟมีลักษณะเริ่มป่น ไม่เป็นก้อน สัมผัสแล้วรู้สึกเหมือนเม็ดน้ำตาลทรายขาว

4. บดละเอียดมาก ผงกาแฟมีลักษณะป่น มีขนาดเล็กกว่าน้ำตาลทรายขาว ยังมีความขรุขระที่เป็นเอกลักณ์ของกาแฟอยู่

เครื่องบดกาแฟมีกี่แบบ?

เครื่องบดกาแฟที่นิยมใช่กันส่วนใหญ่มี 4 แบบ ก็คือ

  1. Roller grinder เป็นเครื่องบดแบบใช้ลูกกลิ้งไปบนร่องเพื่อบดเมล็ดกาแฟ ผงที่ได้จะละเอียดมาก และวิธีนี้ยังเกิดความร้อนน้อยกว่าการบดวิธีอื่นด้วย แต่เครื่องมีขนาดใหญ่และราคาสูง
  2. Mortar and Pestle เป็นวิธีการบดกาแฟแบบโบราณของอาหรับและตุรกี จะให้ผงกาแฟที่มีความละเอียดมากที่สุด
  3. Blade grinder  เป็นเครื่องบดที่ใบมีดในการบดเมล็ดกาแฟ ตัวเครื่องมีราคาถูก แต่ผงกาแฟที่ได้จะไม่สม่ำเสมอกัน หยาบบ้างละเอียดบ้างปนกัน
  4. Burr grinding เป็นเครื่องบดที่มีทั้งแบบธรรมดาและไฟฟ้า เป็นเครื่องบดที่จะช่วยให้กาแฟหอมขึ้นเพราะช่วยปลดปล่อยน้ำมันในเมล็ดกาแฟ ผงกาแฟที่ได้มีความความละเอียดสม่ำเสมอกัน

การบดแต่ละระดับเหมาะกับการชงแบบไหน?

1. บดหยาบ  เหมาะสำหรับการชงแบบเฟรนช์เพรส หรือ เครื่องชงกาแฟแบบ Percolators เป็นการชงที่กรองด้วยตะแกรงถ้าบดละเอียดเกินไป จะทำให้เกิดตะกอนกาแฟหลุดลอดได้ง่าย

2. บดปานกลาง เหมาะสำหรับการชงแบบ Pour – over หรือการชงกาแฟแบบ Filter brewers ใส่กาแฟในกระดาษกรองแล้วเติมน้ำร้อนลงไป

3. บดละเอียด  เหมาะสำหรับการชงแบบ Moka pot เป็นการสกัดกาเเฟโดยใช้แรงดันจากความร้อนระเหยผ่านกาเเฟ ต้องใช้ผงกาแฟบดละเอียด

4. บดละเอียดมาก เหมาะกับเครื่อง Espresso ที่ใช้แรงดันสูง ปริมาณน้ำในการชงน้อยจึงต้องใช้ผงกาแฟบดละเอียดมากเพื่อให้น้ำผ่านได้มากที่สุด

นอกจากเลือกการบดที่เหมาะสมแล้ว ก็อย่าลืมเลือกเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพอย่าง “อะมา” กาแฟที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่างพิธีพิถัน ปลูกในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ได้เมล็ดกาแฟที่ดีและให้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร สนใจสั่งซื้อได้ที่ https://www.amaexoticcoffee.com/

Posted on

5 อันดับ เมนูกาแฟยอดฮิตติดชาร์ตที่คนไทยสั่งมากที่สุด

กาแฟถือได้ว่าเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตของคนหลากหลายวัย อีกทั้งวัยรุ่นสมัยนี้หันมาดื่มกาแฟกันมากขึ้นทำให้มีเมนูใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย ตามความครีเอทของบาริสต้าแต่ละร้าน แน่นอนว่าทุกคนจะต้องมีกาแฟแก้วโปรดในใจอยู่แล้ว แก้วที่ต้องสั่งซ้ำๆ ทุกวัน วันนี้เราจะพาไปดูชาร์ตกาแฟยอดฮิต 5 อันดับที่คนไทยสั่งกันมากที่สุด มาดูกันว่าในชาร์ตนี้จะมีกาแฟแก้วโปรดของคุณบ้างหรือเปล่า

อันดับที่ 5 Americano

เริ่มที่อันดับ 5 เป็นกาแฟดำที่ทำจาก ช็อต Espresso เจือจางด้วยน้ำร้อน  ทำให้รสชาติไม่หนักจนเกินไป ได้ดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟแท้ๆ แบบไม่ปรุงแต่ง เหมาะกับสายสุขภาพ ดื่มได้เรื่อยๆ ทั้งร้อนและเย็น แต่สำหรับใครที่ติดหวานสามารถเติมไซรัปได้ตามความชอบด้วย

อันดับที่ 4 Espresso

เป็นกาแฟดำอีกหนึ่งตัวที่ครองใจหลายๆ คน ช็อตกาแฟเข้มข้นไม่มีส่วนผสมอื่นๆ ใช้วิธีการปล่อยน้ำไหลผ่านผงกาแฟ กลั่นออกมาจากเมล็ดที่บดแล้ว ทำให้ได้รสชาติของกาแฟที่เข้มข้น เหมาะสำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟเข้มๆ เพราะจะได้ดื่มด่ำรสชาติกาแฟอย่างเต็มที่ และ Espresso มักเป็นส่วนผสมของเมนูอื่นๆ ด้วย

อันดับที่ 3 Mocha

เป็นเมนูยอดฮิตสำหรับวัยรุ่น เพราะเป็นกาแฟที่มีส่วนผสมของนมและช็อกโกแลตช่วยเพิ่มความเข้มข้นและความหอมที่เป็นเอกลักษณ์และไม่ขนจนเกินไป จึงกลายเป็นกาแฟแก้วโปรดของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะคนที่เลือกไม่ได้ว่าจะดื่มกาแฟหรือช็อกโกแลตดี

อันดับที่ 2 Cappuccino

กาแฟที่มีส่วนผสมของนมสดรสเข้มข้น กาแฟเข้มๆ กับนมในอัตราส่วนที่ลงตัวแล้วท็อปด้วยฟองนมนุ่มๆ โรยหน้าด้วยผง Cinnamon จึงทำให้ Cappuccino มีรสชาติที่กลมกล่อม หอม คลองใจคนไทยได้ไม่ยาก เหมาะกับคนที่ชื่นชอบกาแฟใส่นมที่เข้มข้นในระดับกลางๆ สำหรับใครที่ไม่ชอบกลิ่น Cinnamon สามารถเปลี่ยนเป็นผง Cocoa แทนได้

อันดับที่ 1 Latte

มาถึงกาแฟยอดฮิตที่คนไทยสั่งกันมากที่สุดอันดับที่ 1 นั่นก็คือ Latte นั่นเอง เป็นกาแฟที่ผสมผสานระหว่างช็อต Espresso 1 ส่วน กับนมร้อน 2 ส่วน ให้รสชาติกาแฟอ่อนๆ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบดื่มกาแฟเข้ม อยากได้แค่สัมผัสเบาๆ Latte ถือว่าตอบโจทย์ ด้วยรสชาติที่ดื่มง่ายและ Latte art ที่สวยงามจึงทำให้กาแฟแก้วนี้อยู่อันดับหนึ่งได้ไม่ยาก

ตรงใจกันบ้างหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะชื่นชอบกาแฟประเภทไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเลือกเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ “อะมา” จะช่วยให้กาแฟทุกแก้วของคุณอร่อยยิ่งขึ้น เพราะเป็นเมล็ดกาแฟที่ใส่ใจทุกขั้นตอน รสชาติกาแฟอาราบิก้าแท้ที่ปลูกบริเวณเขาปางขอน และบ่มเพาะเป็นเวลานานถึง 8 เดือน ทำให้มีลักษณะรสชาติพิเศษไม่เหมือนใคร สนใจสั่งซื้อเมล็ดกาแฟ “อะมา” ได้ที่ https://www.amaexoticcoffee.com/

Posted on

เทคนิคการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟฉบับเทียบเท่ามืออาชีพ

การที่จะชงกาแฟสักแก้วหนึ่งให้ออกมารสชาติดีและมีกลิ่นหอม ประกอบด้วยหลายปัจจัยมากๆ นอกจากจะต้องมีสูตรการชงที่ดี กรรมวิธีที่ถูกต้อง เมล็ดกาแฟคั่วก็มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก สำหรับมือใหม่อาจจะยังงงๆ ว่าเวลาเลือกซื้อเมล็ดกาแฟคั่วควรดูจากอะไรบ้าง วันนี้เรามีเทคนิคการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟฉบับเทียบเท่ามืออาชีพมาฝาก มาดูกันว่าเวลามือโปรเค้าเลือกซื้อเมล็ดกาแฟคั่วเค้าดูจากอะไรบ้าง

ระยะเวลาที่กาแฟคั่วเอาไว้ วันเดือนปีผลิต วันเดือนปีหมดอายุ

เมล็ดกาแฟคั่วจะนับอายุจากวันที่คั่วเสร็จเป็นวันแรก กาแฟหลังจากการคั่วแล้วจะมีอายุแค่เพียง 4-6 สัปดาห์ หลังจากนั้นแล้ว กาแฟจะเริ่มเสื่อมคุณภาพลงไปเรื่อยๆ ซึ่งระยะเวลาหลังคั่วที่จะให้รสชาติและกลิ่นที่ดีที่สุดคือ 2-3 วันหลังคั่ว ควรเลือกถุงที่ใหม่กว่าเพื่อให้ได้รสชาติและกลิ่นที่สมบูรณ์

เลือกซื้อในปริมาณที่เหมาะสมกับการบริโภค

อย่างที่บอกว่าเมล็ดกาแฟคั่วมีอายุการเก็บสั้น ถ้าทิ้งเอาไว้นานๆ ความหอมและรสชาติก็จะน้อยลงเรื่อยๆ แนะนำให้ซื้อในปริมาณที่เหมาะสม ใช้ให้หมดภายใน 1 อาทิตย์

เลือกเมล็ดกาแฟที่ถูกบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่ดี

เมล็ดกาแฟคั่วจะไม่ถูกกับแสงแดดและความชื้น จึงควรถูกบรรจุอยู่ในถุงที่ทึบแสง ที่สำคัญเมล็ดกาแฟจะคายอากาศและความชื้น ซึ่งส่งผลให้คุณภาพลดลงและอาจมีกลิ่นหืนได้ จึงควรเลือกกาแฟที่บรรจุในซองระบายอากาศ หรือ Freshness Wolves 

เลือกแหล่งที่มา

เลือกเมล็ดกาแฟคั่วที่มีรสชาติเฉพาะตัวเป็นพิเศษจากการผลิตของเมืองนั้นๆ

เลือกระดับความเข้มข้น

เลือกระดับความเข้มข้นของกาแฟได้จาก ระดับของการคั่วเมล็ด ซึ่งปกติจะแบ่งเป็น 3 ระดับ นั่นก็คือ

  1. Light Roast  กาแฟที่คั่วอ่อน เป็นสีน้ำตาลอ่อน ผิวแห้ง รสชาติ ความเปรี้ยวและกลิ่นของผลไม้จะยังคงหลงเหลืออยู่ก็ ให้ความรู้สึกถึงรสผลไม้บางอย่าง หรือกลิ่นดอกไม้ที่เป็นลักษณะเฉพาะของเมล็ดกาแฟนั้นได้เด่นชัด
  2. Medium Roast กาแฟที่คั่วกลาง สีน้ำตาลกลางถึงน้ำตาลเข้ม ผิวยังแห้งอยู่ คั่วกลางแบบนี้ เซลลูโลสโดนทำลายไม่หมด แต่ลดความเป็นผลไม้ลง เริ่มมีกลิ่นที่เข้มขึ้น ให้ความรู้สึกไปทางช็อกโกแลตหรือถั่วมากขึ้น
  3. Dark Roast กาแฟที่คั่วเข้ม สีเข้มจัดจนเกือบดำ มีน้ำมันเคลือบผิวกาแฟจนเป็นเงา เซลลูโลสในกาแฟโดนทำลายซึ่งทำให้สูญเสียรสชาติผลไม้ และมีกลิ่นไหม้ รสชาติขม เข้มแทน

สำหรับใครที่ชื่นชอบกาแฟคั่ว ขอแนะนำ “อะมา” แบรนด์กาแฟที่เป็นผลผลิตจากความตั้งใจของชาวเขา เกิดจากแหล่งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ปลูกบนยอดเขาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 1,280 เมตร ไร้การรบกวนจากภายนอก รสชาติพิเศษไม่เหมือนใคร นุ่มนวล กลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ จากดินเขาปางขอน ควบคุมกระบวนการปลูกและคัดสรรอย่างพิถีพิถัน สนใจสั่งซื้อได้ที่ https://www.amaexoticcoffee.com/ รับรองว่าไม่เหมือนใครแน่นอน