Posted on

รู้หรือไม่ กาแฟสด กับ กาแฟสำเร็จรูป ต่างกันยังไง?

หลายๆ คนที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟเป็นประจำก็คงจะรู้กันดีว่ากาแฟนั้นมีอยู่สองประเภท ก็คือ กาแฟสด และ กาแฟสำเร็จรูป ซึ่งถึงแม้จะรู้ว่ามีอยู่สองประเภทนี้ แต่บางคนก็อาจจะยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว กาแฟทั้งสองแบบนี้มันต่างกันยังไง? แบบไหนจะอร่อยกว่า? แล้วข้อดีของแต่ละแบบมีอะไรบ้าง? เอาเป็นว่าวันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณแล้ว!

วิธีการผลิต

เริ่มตั้งแต่วิธีการผลิตกันเลย กาแฟสำเร็จรูปนั้นจะมีลักษณะเป็นผงมาให้อยู่แล้ว จึงต้องผ่านกระบวนการแปรรูปหลากหลายขั้นตอนมากกว่ากาแฟสด ทั้งการคั่ว บด สกัด ทำให้เข้ม และทำให้แห้ง โดยอาจจะผลิตออกมาเป็นผงกาแฟอย่างเดียวเลย หรืออาจจะมีการนำไปผสมกับน้ำตาลและครีมเทียมเพื่อให้มีรสชาติกลมกล่อมมากขึ้นอย่างที่ทุกคนรู้จักกันดีในรูปแบบ “กาแฟซอง” วิธีการผลิตก็คือจะใช้เครื่องทำแห้งแบบพ่น  (Spray drying) หรือเครื่องทำแห้งแบบระเหิด (Freeze drying) เพื่อให้ได้เป็นเกร็ดผงของกาแฟ ส่วนสำหรับกาแฟสดจะมีขั้นตอนน้อยกว่า เริ่มตั้งแต่การเก็บเมล็ดมาบ่มเพาะ คั่ว และบด ก็สามารถนำไปชงต่อได้เลย ซึ่งบางครั้งก็อาจจะผลิตเป็นเมล็ดกาแฟที่ยังไม่ผ่านการบดก็ได้ ตามที่เรามักจะเห็นในร้านกาแฟนั่นเอง

วิธีการชงดื่ม

ถึงแม้กระบวนการผลิตจะน้อยกว่า แต่สำหรับการชงดื่มนั้น กาแฟสดจะมีขั้นตอนที่ซับซ้อนมากกว่าแบบสำเร็จรูป เนื่องจากตัวเมล็ดกาแฟยังไม่ผ่านการบดให้เป็นผง จึงต้องนำมาบดซะก่อน แล้วจึงเอาไปชงตามแต่ละวิธีที่แตกต่างกันตามความชอบของผู้ดื่ม ไม่ว่าจะเป็นการชงแบบผ่านกระดาษกรอง (Drip) ชงแบบใช้น้ำร้อนโดยตรง (Frence Press) หรือใช้ไอน้ำ (Espresso) ซึ่งแต่ละวิธีก็จะได้รสชาติและความเข้มข้นที่ต่างกันด้วยนะ ส่วนกาแฟสำเร็จรูปนั้นมีวิธีการชงที่ง่ายและรวดเร็วมากๆ นั่นก็คือนำผงกาแฟไปชงกับน้ำร้อนก็สามารถดื่มได้แล้ว ถ้าเป็นผงกาแฟอย่างเดียวก็อาจจะเติมน้ำตาล นม หรือครีมเทียมตามใจชอบ แต่ถ้าเป็นกาแฟซองก็มักจะมีการผสมมาให้แล้ว เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องทำอะไรเลย

รสชาติและกลิ่นหอม

กระบวนการผลิตที่มีมากมายหลายขั้นตอนของกาแฟสำเร็จรูปนั้น ย่อมส่งผลถึงรสชาติและกลิ่นหอมดั้งเดิมของกาแฟที่ต้องเสียไป เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับความรวดเร็วและสะดวกสบาย หลายๆ คนจึงรู้สึกว่าทำไมชงกาแฟดื่มเองที่บ้านไม่อร่อยเท่าร้านกาแฟ? นั่นก็เป็นเพราะร้านกาแฟมักจะใช้เมล็ดกาแฟสด ซึ่งมีขั้นตอนการชงที่พิถีพิถันมากกว่า มีรสที่เป็นธรรมชาติและมีเสน่ห์มากกว่า รวมทั้งรสชาติความเข้มข้นและกลิ่นหอมก็มากตามไปด้วย

และสำหรับใครที่ไม่เคยกินกาแฟสดเลยสักครั้ง “อะมา” คือตัวเลือกแรกที่คุณต้องลอง ด้วยความหอม ความสดใหม่ และยังเป็นกาแฟชนิดพิเศษ (exotic) ของไทยที่ปลูกบนยอดเขาสูงกว่า 1,300 เมตร ทำให้ได้รสชาติ นุ่มนวล กลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ ขอบอกเลยว่าต้องลองสักครั้ง แล้วคุณจะออกจากวงการนี้ไม่ได้อีกเลย!

Posted on

การคั่วกาแฟ คือหัวใจสำคัญของการกำหนดรสชาติของกาแฟ

กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่กว่าจะเป็นกาแฟที่ให้เราได้ลิ้มลองรสชาติ ต้องผ่านกรรมวิธีที่หลากหลาย ซึ่งหัวใจสำคัญของรสชาติกาแฟก็คือการคั่ว!! เนื่องจากเมล็ดกาแฟดิบนั้นไม่มีรสชาติ และไม่ได้มีกลิ่นหอมจากเมล็ดเลย!! ซึ่งการคั่วเมล็ดกาแฟเปรียบเสมือนการดึงเอาเสน่ห์ของเมล็ดกาแฟมาสรรค์สร้างเป็นเครื่องดื่มถ้วยโปรดของคุณ เพราะเมื่อเมล็ดกาแฟโดนความร้อนก็จะทำให้น้ำมันระเหยออกมาและเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีภายใน ทำให้เราได้กลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟมากขึ้น ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้ต้องมีการคั่วเมล็ดกาแฟก่อน!! 

ในการคั่วนั้นแบ่งออกเป็น 5 ระดับ โดยระดับการคั่วของเมล็ดกาแฟมีผลต่อรสชาติ ความเปรี้ยว ความหวาน ความขม รวมไปถึงกลิ่นของกาแฟด้วย

1.ระดับ Light Roast – เมล็ดกาแฟจะมีความอ่อนมากที่สุด สีจะคล้ายสีของ cinnamon หรืออบเชย ซึ่งใช้ระยะเวลาในการคั่วสั้นๆ แค่ 5-10 นาที และใช้ความร้อนที่ระดับ 400 องศาฟาเรนไฮต์ ส่วนเรื่องของรสชาติจะมีความเปรี้ยวที่โดดเด่นออกมาผสมกับความฝาดขม! เหมาะที่จะนำไปทำกาแฟร้อน

2.ระดับ Medium Roast – เมล็ดกาแฟจะมีสีสันเพิ่มขึ้นเป็นสีน้ำตาลเข้มปานกลางหรือมีสีเหลืองเข้มตามชนิดของเมล็ดกาแฟ โดยจะใช้เวลาในการคั่วประมาณ 11-15 นาที ส่วนของรสชาติจะมีความเปรี้ยวจาง และยังคงมีความขมอยู่ แต่รสชาติที่เด่นขึ้นมาเลยคือความหวาน เหมาะกับการนำไปทำกาแฟร้อนและเย็น 

3.ระดับ Viennese Roast – เป็นการคั่วที่มีความเข้มมากขึ้น และสีของเมล็ดกาแฟก็มีความเข้มขึ้นจากระดับ Medium Roast แต่การคั่วในระดับนี้กลิ่นของเมล็ดกาแฟจะมีความหอมมากกว่าชนิดอื่นๆ เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยออกมาจากผิวของเมล็ดกาแฟ บริเวณผิวจะมีความมัน ซึ่งใช้เวลาในการคั่วแบบมาตรฐานประมาณ 14-16 นาที ความร้อน 450 องศาฟาเรนไฮต์

4.ระดับ Dark Roast – แน่นอนว่าระดับการคั่วนี้สีของเมล็ดกาแฟจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม มีความมันวาวจากน้ำมันที่ออกมาเคลือบผิว ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 16-18 นาที และใช้ความร้อนที่ 480 องศาฟาเรนไฮต์ ความเปรี้ยวจะหายไปในระดับการคั่วนี้ แต่จะทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมและมีกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟ!!

5.ระดับ Continental – เป็นการคั่วที่เข้มมาก สีของเมล็ดกาแฟเลยมีความเข้มมากจนเป็นสีดำ ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 17-19 นาที การคั่วในระดับนี้เป็นการคั่วแบบพิเศษที่ต้องใช้ความสามารถ โดยจะมีกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟและกลิ่นไหม้ที่ถูกผสมผสานกันได้อย่างลงตัว รสชาติมีความนุ่มลึกและเข้ม เป็นรสชาติที่คนส่วนใหญ่เลือกให้เป็นกาแฟถ้วยโปรด!! ซึ่งนิยมเอาไปบดใช้ในกาแฟ Espresso 

ทั้งนี้การคั่วถือเป็นกระบวนการสุดท้ายที่จะสรรค์สร้างรสชาติและกลิ่นของกาแฟ ก่อนที่จะนำไปชงเป็นเครื่องดื่มถ้วยโปรดให้คุณ! แต่ทั้งนี้อย่าลืมว่าการคั่วกาแฟนั้นต้องใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เพื่อช่วยดึงเสน่ห์ของกลิ่นและรสชาติกาแฟให้กลมกล่อม!!

Posted on

4 เคล็ดลับกู้เงินธนาคารอย่างไร ให้เปิดร้านกาแฟได้!

อย่างที่ทราบกันดีว่า การเปิดธุรกิจส่วนตัวอะไรสักอย่าง รวมถึงร้านกาแฟ คาเฟ่ต่างๆ ล้วนแต่ต้องใช้เงินทุน แต่สำหรับคนที่ไม่มีเงินทุนล่ะจะทำอย่างไรดี วันนี้เรามีทางมาให้! นั่นคือการกู้เงินเพื่อทำร้านกาแฟนั่นเอง! ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้ากู้แล้วอนุมัติได้ผ่านฉลุย ถึงแม้ว่าแต่ละสถาบันการเงินก็จะมีสินเชื่อนี้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสมหวัง ดังนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำเคล็ดลับกู้เงินธนาคารอย่างไรให้เปิดร้านกาแฟได้!

1. มีแผนธุรกิจที่ปัง! ครบ! ชัดเจน!

แผนธุรกิจ คือแบบแผนที่ชัดเจน เป็นลายลักษณ์อักษร แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในธุรกิจกาแฟ โดยต้องผ่านการคิด วิเคราะห์ ศึกษาหาข้อมูล และคำนวณผลกำไรต่างๆ ซึ่งเราต้องเตรียมเอกสาร แผนธุรกิจที่ใช้ประกอบการพิจารณาสินเชื่อ ซึ่งในเอกสารนั้นเราจะต้องตอบคำถามและเตรียมตัว ซึ่งประกอบไปด้วย ธุรกิจของเรามีลักษณะในการดำเนินการอย่างไร, รายรับรายจ่ายของธุรกิจเรา, ลูกค้าของธุรกิจเราเป็นใคร, ผลกำไรของธุรกิจเท่าไร, และการดำเนินการธุรกิจในอนาคตจะทำอย่างไร

2. มีประสบการณ์

หากเราวาดฝันว่าเราทำร้านกาแฟนี้ได้ประสบความสำเร็จแน่ๆ โดยไม่มีหลักฐาน หรือคำพูดที่ชี้นำไปถึงความมั่นคง อาจทำให้เจ้าหน้าที่ตัดสิทธิ์ไม่อนุมัติได้ ดังนั้น การพิจารณาให้สินเชื่อส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บนฐานของการรับมือและการพยุงธุรกิจ ในขณะเดียวกัน สถาบันการเงินจะฟัง ดูรายได้ที่เราสามารถทำได้จากธุรกิจนี้ในแต่ละเดือน และพิจารณาความเสี่ยงว่า หากธุรกิจกาแฟของเรานั้นไปไม่รอด เราจะมีความสามารถในการคืนสินเชื่อให้ธนาคารได้หรือไม่ ถ้าได้ก็อนุมัติผ่านฉลุยเลย

3. มีหลักค้ำประกัน

หลักค้ำประกัน คือสิ่งที่ใช้มาเป็นหลักประกันสำหรับค้ำสินเชื่อเพื่อการกู้ อย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ที่ดิน อาคาร สิ่งปลูกสร้าง หรือแม้แต่เครื่องจักร และอุปกรณ์ทำกินต่างๆ เป็นต้น

4. เครดิตบูโรต้องดี

แน่นอนว่าด่านสุดท้ายคือประวัติการชำระหนี้ เพียงแค่การพูดคุย และนำเสนอเอกสารต่างๆ ไม่สามารถบอกถึงนิสัยการใช้เงินและความรับผิดชอบได้ ดังนั้นสถาบันการเงินจึงมีวิธีตรวจสอบการชำระหนี้ของเราผ่านเครดิตบูโร หากเครดิตดี รับรองว่ายังไงก็กู้ผ่านแน่นอน!!

ซึ่งนี่ก็คือ 4 เคล็ดลับกู้เงินธนาคารอย่างไรให้เปิดร้านกาแฟได้! อย่างเข้าใจง่ายๆ ให้ทุกคนได้ศึกษาและตระเตรียมเอกสารไว้ก่อนแต่เนิ่นๆ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา หากคุณกู้ผ่านแล้วและกำลังมองหาเมล็ดกาแฟที่ดี มีคุณภาพ อาราบิก้าแท้เกรมพรีเมี่ยม ต้องกาแฟ อะมา ปางขอนเลย!! https://www.amaexoticcoffee.com/ ????

Posted on

รู้หรือไม่? กาแฟอาราบิก้าแท้รสชาติสุดพิเศษอยู่ที่ประเทศไทย!

เชื่อว่าทุกคนต้องเคยดื่มกาแฟกันอยู่แล้วแต่ก็อาจจะมีบางคนที่ไม่เคยรู้ว่ากาแฟที่ดื่มนั้นเป็นสายพันธุ์อะไร มีชื่อเรียกหรือมีที่มาที่ไปอย่างไร
ซึ่งในประเทศไทยเนี่ยก็มีการปลูกกาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจอยู่ในหลายๆ พื้นที่ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วนั้น กาแฟที่อยู่ในประเทศไทยจะแบ่งออกเป็นกาแฟราบัสต้า
(Robusta) และกาแฟอาราบิก้า (Arabica)ซึ่งเราจะมาเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวความเป็นมาของกาแฟอาราบิก้ากาแฟคุณภาพดีที่เป็นที่นิยมไปทั่วโลกกัน

ประวัติของกาแฟอาราบิก้า

อาราบิก้า เป็นสายพันธุ์กาแฟที่ถูกค้นพบและมีการปลูกมาอย่างยาวนานถิ่นกำเนิดเริ่มต้นของกาแฟอาราบิก้านั้นถูกค้นพบที่ประเทศเอธิโอเปียบนเขตพื้นที่สูงซึ่งอยู่ในทวีปแอฟริกา มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Coffea arabica L. เป็นที่นิยมไปทั่วโลกแบบที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจของโลกเลยทีเดียวโดยมีสัดส่วนของกาแฟอาราบิก้าประมาณ 70% ส่วนที่เหลืออีก 30%จะเป็นเมล็ดกาแฟโรบัสต้าและพันธุ์อื่นๆประวัติความเป็นมาของอาราบิก้านั้นก็มีเรื่องราวที่แตกต่างกันทั้งมีผู้พบเห็นกาแฟพันธุ์นี้เติบโตตามใต้ต้นอินทผลัมในประเทศเอธิโอเปียหรือจากชาวเขาในประเทศได้อพยพไปอยู่ที่ตะวันออกกลางและเอาเมล็ดกาแฟนี้ไปปลูกด้วย

เมื่อชาวเปอร์เซียมีอำนาจในตะวันออกกลางก็ได้ขับไล่ชาวเขากลับประเทศในขณะที่ต้นกาแฟอาราบิก้าก็ยังเติบโตต่อไปและขยายพันธุ์อยู่ที่แถบเชิงเขาของประเทศเยเมน หรืออีกเรื่องราวที่มีนักเดินทางจากประเทศอื่นๆได้นำเอาต้นกาแฟอาราบิก้าจากเอธิโอเปียและเยเมนไปปลูกยังประเทศตัวเองจนได้แพร่กระจายไปทั่วมุมโลกในที่สุด การปลูกกาแฟอาราบิก้าจากที่ได้เล่าไปว่ามีการค้นพบกาแฟอาราบิก้าในเขตพื้นที่สูง นั่นก็เป็นเพราะว่าการปลูกกาแฟอาราบิก้ามีข้อจำกัดตรงที่จะต้องปลูกบนพื้นที่สูงตั้งแต่ 800-1000 เมตรขึ้นไปเหนือระดับน้ำทะเล ยิ่งถ้าสูง 1000เมตรขึ้นไปจะยิ่งดีมากๆ ความลาดเอียงของพื้นที่ไม่เกิน 30%

นอกจากนี้แล้วยังต้องมีอุณหภูมิที่เย็นประมาณ 15-25 องศาเซลเซียสมีความชื้นสัมพัทธ์มากกว่า 60% ด้วยข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้ทำให้กาแฟอาราบิก้าเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีวิธีการปลูกรวมไปถึงการดูแลที่ค่อนข้างยากลำบาก ทุกๆอย่างในกระบวนการปลูกต้องออกมาเหมาะสมเพื่อให้รสชาติของกาแฟไม่ผิดเพี้ยนไป นอกจากนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อรสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟ เช่น ชนิดของดิน พื้นที่ความสูง อุณหภูมิ การดูแลรักษา และการเก็บเกี่ยวนั่นเอง

อะมา (AMA) กาแฟอาราบิก้าแท้ 100% ที่ปลูกในประเทศไทยสำหรับการปลูกกาแฟอาราบิก้าในประเทศไทยนั้นเริ่มจากโครงการหลวงพัฒนาชาวเขาที่ได้นำพันธุ์กาแฟอาราบิก้ามาปลูกในเขตที่สูงของไทยโดยมีกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ชาวบ้านได้ปลูกกาแฟทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งอะมา (AMA) เป็นแบรนด์กาแฟอาราบิก้าแท้ 100% ที่คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพจากการปลูกบนยอดเขาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า1,280 เมตร ไร้การรบกวนจากภายนอก และใช้ดินเขาปางขอนในการปลูกทำให้รสชาติที่ได้มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร มีความกลมกล่อม นุ่มและคงกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของกาแฟอาราบิก้าแท้

Posted on

รวมเทคนิคการเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟที่มือใหม่ควรรู้!

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟในทุกๆ วัน ชอบค้นหาเมล็ดกาแฟดีๆ มาลองชิมเสมอ และในตอนนี้ก็กำลังเริ่มสนใจที่จะซื้อเครื่องชงกาแฟสักอันเอาไว้ชงกาแฟสดเองที่บ้าน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเลือกซื้อแบบไหนดี มีหลักการอะไรในการเลือกบ้าง?

และจะคุ้มค่ากับการจ่ายเงินหรือไม่ เอาเป็นว่าไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะว่าการเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด ถึงแม้ว่าเราจะเป็นมือใหม่ แต่ก็สามารถเลือกซื้อได้แน่นอน ลองไปดูกันเลยว่าการเลือกซื้อนั้นจะต้องดูจากอะไรกันบ้าง!

1.การใช้งาน

เริ่มที่ข้อแรกกันเลย ก่อนที่เราจะตัดสินใจเลือกประเภทหรือรุ่นของเครื่องชงกาแฟเราก็ควรจะถามตัวเองก่อนว่าเรามีจุดประสงค์ในการใช้งานยังไงบ้าง?
ถ้าหากเราต้องการซื้อเครื่องชงกาแฟเพื่อนำมาใช้ในธุรกิจ อย่างการเปิดร้านขายกาแฟแน่นอนว่าเครื่องที่เราต้องซื้อก็ควรจะมีขนาดที่ใหญ่และมีแรงดันเยอะๆ เช่น 19 บาร์ หรือควรจะชงได้ทีละหลายแก้ว เป็นต้นแต่ถ้าจุดประสงค์ของเราคือการชงกาแฟสดดื่มเองที่บ้าน อันนี้เราก็ควรเลือกซื้อเครื่องแบบขนาดเล็ก แรงดันไม่ต้องเยอะมากเน้นการใช้งานง่ายๆ ราคาก็จะได้ไม่สูงตามไปด้วยนั่นเอง

2.ฟังก์ชั่นการทำงาน

ต่อมาสิ่งที่ควรดูก็คือฟังก์ชั่นในการใช้งานของตัวเครื่อง อันนี้ก็จะขึ้นอยู่กับความถนัดและความชอบของเราเลยค่ะว่าเราอยากให้เครื่องชงกาแฟของเราทำอะไรได้บ้าง เช่น มีหัวชงหลายหัว เป็นเครื่องชงแบบ Manual ที่จะต้องตั้งค่าระดับน้ำเอง หรือว่าอยากได้แบบ Auto เหมาะกับมือใหม่ แค่กดปุ่มเดียวก็ทำงานให้เลย แบบนี้ก็จะสะดวกมากขึ้นค่ะ

3.วัสดุของเครื่อง

สำหรับวัสดุของเครื่องชงกาแฟก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามนะคะ เพราะว่ามันมีผลต่อราคาและความทนทานของตัวเครื่องถ้าหากเครื่องชงกาแฟทำมาจากวัสดุอย่างสเตนเลสก็จะสามารถทนต่อการกัดกร่อนจากแร่ธาตุในน้ำได้มากกว่าวัสดุอย่างทองแดงนั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของความหนาบางและการใช้พลาสติกเป็นส่วนประกอบในบางส่วนด้วย ซึ่งราคาก็แปรผันตามวัสดุเหล่านี้เนี่ยล่ะค่ะ

4.แบรนด์หรือประเทศที่ผลิต

ถ้าให้บอกแบรนด์ที่เป็นที่นิยม ก็มักจะหนีไม่พ้นพวกแบรนด์ดังๆ หรือเครื่องชงที่ผลิตในโซนประเทศยุโรปอย่างอิตาลี ฝรั่งเศส สเปน อเมริกา เยอรมัน และฮอลแลนด์ เพราะประเทศเหล่านี้จะมีมาตรฐานในการผลิตที่สูง สินค้ามีคุณภาพดีซึ่งแบรนด์ที่มีชื่อเสียงหลายๆ แบรนด์ก็มักจะมีราคาที่สูงตามไปด้วยเช่นกัน

5.บริการหลังการขาย

เหมือนกับการซื้อสินค้าอื่นๆ ทั่วไปนั่นแหละค่ะ การบริการหลังการขายถือเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากๆโดยเราควรเลือกซื้อจากตัวแทนจำหน่ายที่เชื่อถือได้ สินค้ามีการรับประกัน มีช่างซ่อม และมีอะไหล่สำรองเพราะเครื่องชงบางอันที่ผลิตจากต่างประเทศก็อาจจะหาอะไหล่ต่างๆ ได้ยากและใช้เวลาซ่อมนานดังนั้นหากร้านไหนมีช่างซ่อมคอยให้คำแนะนำหรือมีบริการไปซ่อมที่บ้านก็จะยิ่งดีเลยล่ะ นี่ก็เป็นเทคนิคเบื้องต้นที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟที่ดีและเหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละคนได้แล้วนะคะ และเมื่อทุกคนมีเครื่องชงกาแฟพร้อมแล้วก็ต้องเลือกใช้เมล็ดกาแฟพันธุ์แท้ที่มีคุณภาพดีเพื่อช่วยเสริมให้กาแฟที่เราชงออกมารสชาติอร่อยโดนใจกันด้วยนะ!

Posted on

คนรักสุขภาพต้องอ่าน! รวมสารพัดประโยชน์ของกาแฟสำหรับคนชอบออกกำลังกาย

แน่นอนว่าในทุกวันนี้มีคนจำนวนมากที่หันมาใส่ใจสุขภาพและการออกกำลังกายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เด็กมหาวิทยาลัยไปจนถึงวัยทำงาน ซึ่งหลายๆ คนอาจจะกำลังสงสัยว่าแล้วการดื่มกาแฟเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไง? ต้องบอกเลยว่าจริงๆ แล้วนั้น การดื่มกาแฟสามารถส่งเสริมให้การออกกำลังกายของเราดีขึ้นได้นะ! แต่จะมีประโยชน์หรือช่วยในเรื่องอะไรบ้างต้องไปดูกัน!

กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด

โดยปกติแล้วนั้นคาเฟอีนในกาแฟจะมีส่วนช่วยให้หัวใจของเราเต้นแรงขึ้น เลือดลมสูบฉีด และกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งก็ส่งผลทำให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย เพราะเมื่อร่างกายมีระบบการไหลเวียนเลือดที่ดี เราก็จะได้รับออกซิเจนเพิ่มขึ้น เป็นการส่งผลดีต่อการใช้กล้ามเนื้อของเรา

เพิ่มการเผาผลาญ

การดื่มกาแฟก่อนการออกกำลังกาย จะทำให้ร่างกายของเราเผาผลาญได้มากขึ้นกว่าปกติถึง 15% ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่ากาแฟไปกระตุ้นการเต้นของหัวใจ และทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้นอย่างที่ได้บอกไปในข้อที่แล้ว นอกจากนี้คาเฟอีนในกาแฟยังเป็นตัวช่วยเพิ่มพลังงานให้เราได้เอามาใช้มากขึ้น และโดยปกติที่การออกกำลังกายก็มักจะทำให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันอยู่แล้ว พอยิ่งมีกาแฟเป็นตัวเสริม ผลลัพธ์ของการออกกำลังกายก็เลยออกมาดียิ่งกว่าเดิมนั่นเอง!

ออกกำลังกายได้นานขึ้น

คล้ายๆ กับการที่เราดื่มกาแฟเพื่อให้ไม่ง่วงนอน รู้สึกสดชื่นและทำงานได้นานขึ้น สำหรับการออกกำลังกายเองก็เช่นกันค่ะ เมื่อเราได้รับคาเฟอีนแล้ว ก็จะส่งผลต่อระบบประสาทที่ทำให้เรารู้สึกมีสมาธิ มีความมุ่งมั่น และโฟกัสกับการออกกำลังกายได้ดีมากขึ้น แถมยังทำให้เราสามารถออกกำลังกายได้นานมากกว่าเดิม เกิดความรู้สึกเมื่อยล้าและเหนื่อยน้อยลง มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมากขึ้น เพราะกาแฟเข้าไปช่วยทำงานคล้ายๆ กับสารอะดีโนซีน (Adenosine) ในร่างกายของเรา ซึ่งสารตัวนี้จะหลอกร่างกายให้ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเมื่อยล้าได้ รวมทั้งทำให้สารอะดรีนาลีน (Adrenaline) หลั่งมากขึ้นอีกด้วย!

เพิ่มพลังงานของกล้ามเนื้อ

อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าเราควรจะทานอาหารที่ให้พลังงานกับร่างกายก่อนที่จะออกกำลังกาย เพราะไม่อย่างนั้นก็คงจะหมดแรงเอาง่ายๆ ซึ่งการดื่มกาแฟนั้นสามารถเป็นแหล่งพลังงานให้กับกล้ามเนื้อของเราได้ โดยที่จะไปช่วยเพิ่มระดับไขมันในเลือดของเรา ซึ่งร่างกายก็จะนำไขมันตรงนี้ไปใช้ในการออกกำลังกายแทนคาร์โบไฮเดรต ร่างกายของเราจึงสามารถเก็บแหล่งพลังงานของกล้ามเนื้อ หรือก็คือ ไกลโคเจน (Glycogen) เอาไว้ได้

ทีนี้ทุกคนก็คงจะได้รู้ถึงประโยชน์ของการดื่มกาแฟกับการออกกำลังกายกันแล้วนะคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอะไรที่มากเกินไปก็อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีได้ ดังนั้นเราควรจะดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะพอดีกับที่ร่างกายรับได้ หรือประมาณ 3-6 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวนั่นเอง และที่สำคัญอย่าลืมทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกดื่มกาแฟออร์แกนิกที่ดีต่อสุขภาพ และไม่หักโหมออกกำลังกายมากเกินไปด้วยน้า

Posted on

5 ประโยชน์ของกากกาแฟที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน!

ใครๆ ก็คงรู้กันดีว่ากาแฟนั้นเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตที่มีประโยชน์และช่วยให้หลายๆ คนสามารถทำงานได้อย่างสดชื่น แต่รู้กันหรือเปล่าคะว่าหลังจากการชงกาแฟสดจากเมล็ดกาแฟแล้วเนี่ย สิ่งที่เรามักจะทิ้งกันเสมอก็คือ “กากกาแฟ”

แน่นอนว่าบางคนอาจจะรู้สึกว่ามันก็ดูไม่มีประโยชน์อะไร จะเก็บไว้ทำไม? แต่ความจริงแล้วเจ้ากากกาแฟนี่ล่ะ ที่สามารถเอามาทำประโยชน์อะไรได้อีกหลายอย่างเลย แถมบางอย่างอาจจะจำเป็นกับชีวิตประจำวันของเราด้วยนะ! จะมีอะไรบ้างเราไปดูกันเลย!

1. ทำปุ๋ยใส่ต้นไม้

ใครที่ชื่นชอบความร่มรื่นหรือมีงานอดิเรกอย่างการปลูกต้นไม้ก็เหมาะกับข้อนี้มากๆ เลยล่ะ เพราะกากกาแฟที่เราชอบทิ้งกันนั้นสามารถเอาไปทำเป็นปุ๋ยใส่ในต้นไม้ได้อย่างดี โดยอาจจะเอากากกาแฟผสมกับปุ๋ยที่ใช้อยู่ประจำ หรือเอาไปหมักกับปุ๋ยหมักแบบเกษตรอินทรีย์ก็ได้เหมือนกัน ธาตุไนโตรเจน โพแทสเซียม และฟอสฟอรัสในกากกาแฟจะช่วยให้พืชพรรณของเราเจริญเติบโตอย่างงดงามเลยล่ะ

2. ดับกลิ่นในตู้เย็น

เป็นธรรมดาที่ในตู้เย็นมักจะเต็มไปด้วยกลิ่นอาหารต่างๆ ซึ่งบางครั้งก็ต้องยอมรับเลยว่าพอมีอาหารเยอะๆ แล้ว กลิ่นเหล่านี้ก็ตีกันซะจนเกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และถ้าเราไม่อยากได้กลิ่นจากตู้เย็นในทุกครั้งที่เปิดล่ะก็ กากกาแฟคือทางออก! แค่เรานำกากกาแฟใส่ถ้วยเล็กๆ วางในตู้เย็น แค่นี้ก็จะช่วยดูดซับกลิ่นเหม็นและเติมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของกาแฟเข้าไปแทนแล้ว!

3. ทำความสะอาดกระทะ

เคยมั้ยที่รู้สึกว่าการทำความสะอาดกระทะเป็นเรื่องยาก กว่าจะขัดคราบฝังแน่นหรืออาหารไหม้ๆ ที่ติดกระทะได้ก็เล่นเอาแทบหมดแรง แต่เราสามารถจัดการได้อย่างง่ายๆ ด้วยการใช้กากกาแฟ! โดยให้เราเอากากกาแฟใส่ในเศษผ้าที่ทำเป็นถุงเล็กๆ แล้วเอามาขัดกระทะบริเวณที่มีคราบ กากกาแฟจะช่วยกัดเซาะคราบที่กำจัดได้ยากเหล่านี้ให้หลุดอย่างง่ายดายเลยทีเดียว

4. สครับผิวให้สวยใส

ข้อนี้สาวๆ บางคนอาจจะรู้กันอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ก็ต้องขอบอกเลยว่าการสครับผิวโดยการใช้กากกาแฟนั้น สามารถทำให้ผิวของเราเรียบเนียน นุ่ม และขาวใสขึ้นได้ เพราะนอกจากการผลัดเซลล์ผิวเก่าๆ แล้ว กากกาแฟยังมีสารที่เป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย จะใช้เดี่ยวๆ หรือจะเอาไปผสมกับโยเกิร์ต น้ำผึ้ง นมสดก็เวิร์คมากๆ ที่สำคัญคือกากกาแฟจะไม่บาดผิวของเราเท่ากับการใช้เกลือสครับด้วยนะ

5. หมักผมให้เงางาม

นอกจากการนำไปขัดตัวแล้ว กากกาแฟก็ยังสามารถเอามาหมักผมได้อีกด้วย ซึ่งแชมพูบางยี่ห้อก็มีการใช้ส่วนผสมจากกาแฟกันแล้วนะ และเมื่อเรามีกากกาแฟอยู่ที่บ้าน เราก็แค่นำมาผสมกับยาสระผมหรือครีมนวดผมที่ใช้ประจำ ง่ายๆ เท่านี้ก็ช่วยให้เส้นผมของเราดำเงางาม นุ่มสวยและดูมีสุขภาพดีกว่าปกติแล้วล่ะค่ะการนำกากกาแฟที่จะต้องทิ้งอยู่แล้วกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แน่นอนว่านอกจากจะได้ประโยชน์จริงๆ ในชีวิตประจำวัน ยังเป็นการช่วยกำจัดขยะเหลือทิ้งได้อีกต่างหาก เพียงแค่นี้ทุกคนก็จะได้ทั้งดื่มกาแฟอร่อยๆ ฟินๆ และช่วยรักษ์โลกกันอีกด้วย!

Posted on

คอกาแฟควรรู้! กับ 5 เคล็ดลับการดื่มกาแฟแบบไม่เสียสุขภาพ

อาหารและเครื่องดื่มหลายๆ อย่างบนโลกนี้ต่างก็มีทั้งประโยชน์และโทษด้วยกันทั้งนั้น แม้กระทั่ง “กาแฟ” เครื่องดื่มสุดโปรดในใจใครหลายคน แบบที่เรียกได้ว่าถ้าวันไหนไม่ได้ดื่ม ก็คงจะง่วงซึมไม่มีกระจิตกระใจจะทำงานกันเลยทีเดียว ซึ่งการดื่มกาแฟก็มีข้อดีหลายๆ อย่าง ทั้งช่วยให้เราสดชื่น สมองตื่นตัวพร้อมทำงาน และสามารถป้องกันโรคหลายๆ อย่างได้

แต่! ถ้าหากเราดื่มผิดวิธีหรือดื่มในปริมาณที่มากเกินไป กาแฟก็สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการใจสั่น เกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือทำให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุได้น้อยลง ดังนั้นเราก็เลยจะมาแนะนำเคล็ดลับการดื่มกาแฟแบบไม่ให้เสียสุขภาพ เพื่อเอาใจคอกาแฟทุกคนกัน!

1. ไม่ดื่มกาแฟตอนท้องว่าง
การดื่มกาแฟตอนท้องว่างสามารถส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ หรือเป็นโรคกระเพาะได้ เนื่องจากว่ากาแฟนั้นมีฤทธิ์ที่เป็นกรด โดยคาเฟอีนในกาแฟจะเข้าไปเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารให้ทำงานเร็วขึ้น นอกจากนี้กาแฟยังไปทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น จนเรารู้สึกอยากอาหารอยู่ตลอดเวลาด้วย ดังนั้นการดื่มกาแฟพร้อมกับของว่างหรืออาหารที่มีประโยชน์อย่าง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต จะช่วยให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนช้าลง และดีต่อสุขภาพมากกว่านั่นเอง

2. เลือกดื่มกาแฟออร์แกนิก
คุณภาพของเมล็ดกาแฟก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเช่นเดียวกันนะคะ เราควรจะเลือกดื่มกาแฟที่มาจากเมล็ดกาแฟคุณภาพสูง หรือกาแฟออร์แกนิก เพราะมีวิธีการปลูกและการผลิตที่ปลอดภัย ซึ่งจะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าสุขภาพของเราจะปลอดภัยจากบรรดาสารเคมีต่างๆ ที่อาจจะตกค้างอยู่ได้ เช่น ยาฆ่าแมลง หรือปุ๋ยเคมี

3. เลือกเวลาในการดื่ม
จริงๆ แล้วการดื่มกาแฟที่ดีคือควรดื่มก่อนเวลา 14.00 น. ทั้งนี้ก็เพื่อให้เราสามารถนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ในตอนกลางคืน และหากจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องดื่มกาแฟหลัง 14.00 น. ก็ควรจะเลือกดื่มกาแฟที่มีปริมาณคาเฟอีนน้อยๆ จะได้ไม่เกิดการใจสั่น หรือนอนไม่หลับกันนะคะ

4. ดื่มกาแฟแบบไม่ใส่น้ำตาล หรือ ครีมเทียม
คนเราโดยทั่วไปแล้วต้องการน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 6 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น ซึ่งในแต่ละวันเราก็มักจะได้รับเพียงพอแล้วจากอาหารหรือขนมต่างๆ การดื่มกาแฟที่ดีต่อสุขภาพจึงไม่ควรจะใส่น้ำตาลหรือครีมเทียมใดๆ เลยจะดีที่สุด (ช่วยให้ไม่อ้วนด้วยนะ!) แต่ถ้าใครไม่สามารถกินแบบนี้ได้จริงๆ ก็แนะนำให้ใส่น้ำผึ้งหรือสารให้ความหวานแทนจะดีกว่าน้า

5. ดื่มน้ำเปล่าตามเยอะๆ
เมื่อเราดื่มกาแฟเสร็จแล้ว สิ่งที่ควรทำก็คือการดื่มน้ำเปล่าตามเยอะๆ เพราะว่าในกาแฟจะมีคาเฟอีนอยู่ ซึ่งเจ้าคาเฟอีนนี้แหละที่จะไปกระตุ้นให้เรารู้สึกอยากเข้าห้องบ่อยๆ และทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำไปจำนวนมาก การดื่มน้ำเปล่าสะอาดๆ ตามจึงจะไปช่วยรักษาสมดุลและอาการสูญเสียน้ำของร่างกายเรานั่นเองค่ะ

เห็นมั้ยคะว่าแต่ละข้อที่เราเอามาบอกต่อนั้น ล้วนแต่เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายๆ ทั้งนั้นเลย ยังไงเพื่อนๆ ทุกคนที่รักการดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจก็อย่าลืมนำไปปรับใช้ให้เข้ากับการดื่มกาแฟของตัวเองกันล่ะ เพราะ อะมา อยากให้ทุกคนได้ดื่มกาแฟดีๆ ไปพร้อมกับการมีสุขภาพที่ดี

Posted on

ตำราเร่งรัด หนทางสู่การเป็นเจ้าของร้านกาแฟต้องทำอะไรบ้าง

ในยุคสมัยที่ใครก็อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองร้านกาแฟนั้นติดอันดับแรกๆ ที่ใครหลายๆ คนอยากจะเป็นเจ้าของเพราะสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่วัยรุ่นในปัจจุบันมักนิยมเข้าไปซื้อเครื่องดื่มพร้อมหาที่นั่งสบายๆพักผ่อนหย่อนใจและอ่านหนังสือทบทวนกันเป็นจำนวนมากแน่นอนว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาก็ไม่ใช่น้อยอย่างแน่นอนทั้งหมดนี้จึงทำให้ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่หลายๆ คนเล็งไว้และฝันใฝ่จะเป็นเจ้าของว่าแต่การจะเริ่มต้นหนทางการเป็นเจ้าของร้านกาแฟต้องทำอย่างไรบ้างบอกเลยว่าไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของเพื่อนๆ อย่างแน่นอน

1. เงินทุน

การทำธุรกิจจะเริ่มไม่ได้หากขาดเงินทุนเพราะฉะนั้นการเตรียมเงินทุนให้พอกับทุกๆ ส่วน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากการเก็บออมเงินเป็นสัดส่วนจึงสำคัญ หรือสำหรับใครที่ลงทุนคนเดียวไม่ไหวนั้นการหาเพื่อนร่วมลงทุนเปิดร้านก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน

2. ทำเลที่ตั้ง

ทำเลที่ตั้งใครว่าไม่สำคัญในยุคที่ร้านกาแฟสามารถหาได้อย่างง่ายดายการเลือกทำเลที่ตั้งให้เหมาะกับโทนของร้านกาแฟก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ตัวอย่างเช่นถ้าหากเพื่อนๆ ต้องการเจาะไปที่กลุ่มวัยรุ่นศูนย์กลางอย่างสยามหรือใต้ตึกเรียนพิเศษต่างๆก็เป็นแหล่งที่น่าสนใจและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย

3. พนักงานและการบริการ

เพื่อนๆคงเคยเห็นว่าหลายต่อหลายร้านที่แม้ว่ารสชาติจะดีขนาดไหนแต่ถ้าหากมีพนักงานที่บริการไม่ดีพลังโซเชียลและข่าวสารที่ไปไวในยุคนี้ก็สามารถทำให้ร้านต้องถูกปิดตัวลงไปได้ทันทีเพราะฉะนั้นการเทรนด์พนักงานให้บริการอย่างคล่องแคล่วและให้เกียรติลูกค้าทุกคนที่เข้ามานั้นจึงเป็นอีกส่วนที่ขาดไม่ได้ 

4. อุปกรณ์และการตกแต่ง

อุปกรณ์ในการชงกาแฟไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำกาแฟ เครื่องบดกาแฟ จาน ชาม แก้ว ทุกๆอย่างจะต้องถูกเตรียมพร้อมไม่ให้ขาด เจ้าของร้านจะต้องทำการเช็กคลิสต์ให้ดีโดยทั้งหมดนี้ก็ควรที่จะเป็นไปในทางเดียวกับการตกแต่งร้านด้วยเช่นกันเพื่อไม่ให้เกิดบรรยากาศที่ขัดกันจนเกินไป

5. ชนิดของกาแฟและเมนูต่างๆ

และสิ่งที่สำคัญที่สุดของร้านกาแฟก็คือรสชาติของตัวกาแฟนั่นเองเจ้าของร้านจะต้องบรรจงและพิถีพิถันในการเลือกเมล็ดพันธุ์กาแฟที่จะนำมาใช้พร้อมทั้งคิดเมนูกาแฟที่แปลกใหม่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดความจำเจบอกเลยว่าการเลือกเมล็ดพันธุ์กาแฟที่ปลูกในประเทศไทยก็สามารถสร้างกิมมิคเก๋ๆให้กับร้านได้อย่างง่ายดาย

จบไปแล้วกับ 5ข้อง่ายๆ แม้ว่าการเปิดร้านกาแฟเป็นของตนเองนั้นจะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถหากเรามีการเตรียมตัวที่พร้อมในทุกๆ ทางว่าแล้วใครที่สนใจทางสายนี้อยู่ละก็เริ่มวางแผนกันตั้งแต่วันนี้ก็ไม่สายเกินไปอย่างแน่นอน