Posted on

ไขข้อข้องใจ ใช้เครื่องหรือใช้มือบดเม็ดกาแฟ แบบไหนจะอร่อยกว่ากัน?

คงต้องเคยมีคนตั้งข้อสงสัยกันบ้างแหละว่า การบดเมล็ดกาแฟนั้นจะต้องใช้เครื่องหรือจะต้องใช้มือ แล้วการบดแบบไหนจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า? เรียกได้ว่าคำถามนี้กลายเป็นคำถามที่ชวนปวดหัวแบบสุด ๆ เพราะคำตอบที่ได้มานั้นมันไม่มีความตายตัวเลยแม้แต่นิดเดียว บางคนชอบบดเมล็ดกาแฟด้วยเครื่อง บางคนชอบบดด้วยมือก็แล้วแต่ความสะดวกและความถนัดของแต่ละบุคคล แต่ในวันนี้เราจะพาคุณไปดูว่า แท้ที่จริงแล้วการบดกาแฟจะต้องใช้อะไร แล้วแบบไหนจะดีกว่ากัน ดังนั้นไม่รอช้า เราไปพบกับคำตอบพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

การใช้งานคือสิ่งที่คุณควรคำนึงถึงมากที่สุด

หากคิดมีแพลนที่จะซื้อเครื่องบดกาแฟไฟฟ้า ที่มีราคาเหยียบหลักหมื่น อันดับแรกคุณต้องคิดก่อนว่า คุณจะนำเจ้าเครื่องนี้ไปทำอะไร เช่นค้าขายหรือชงกินเองแบบสบาย ๆ เพื่อที่ว่าคุณจะได้ตั้งงบประมาณได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
เพราะบางคนกลับต้องเสียเงินโดยใช้เหตุ เพียงแค่อยากได้เครื่องบดกาแฟไฟฟ้า แต่กลับไม่ได้ใช้ฟังก์ชันอื่น ๆ อะไรภายในตัวเครื่องเลย กลับกันถ้าคุณต้องการเครื่องบดไฟฟ้าไปไว้ที่ร้านกาแฟ
คุณก็ควรจะเลือกรุ่นที่ครอบคุมทุกการใช้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องมาเพิ่มเติมในภายหลัง

ความถนัดของคนเราไม่เท่ากันอย่านำไปเปรียบเทียบ

บางคนมัวแต่ไปเชื่อรีวิว ว่าเครื่องบดกาแฟไฟฟ้าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ สุดท้ายซื้อตามมา สินค้ากลับไม่ได้ดั่งใจ กลับไปบดกาแฟแบบมือเหมือนที่เคยทำมา ดังนั้นตรวจสอบตัวเองให้ดี เพื่อที่จะได้ตัดสินใจว่าต้องการเครื่องบดแบบไหนกันแน่

เครื่องแพงไม่ได้แปลว่าจะเข้ากับเราทุกคน

หลาย ๆ คน ยอมควักเงินซื้อเครื่องบดกาแฟที่แสงแพงแต่กลับไม่ได้ใช้งานเลยสักทีเดียว เพราะใช้ไม่เป็นบ้าง ไม่ชอบระบบการทำงานบ้าง ฯลฯ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นคุณคงต้องย้อนกลับไปถามตัวเองอีกที ว่าเครื่องหรือมือกันแน่ ที่สามารถบดเมล็ดกาแฟได้ตรงกับและเข้ากับคุณมากที่สุด

Hidden Content


ต้องศึกษาให้แน่ใจว่าเมล็ดกาแฟที่จะเลือกใช้ควรบดด้วยอะไรกันแน่?


เมล็ดกาแฟบางประเภทต้องบดมือ บางประเภทบดเครื่องเพราะต้องอาศัยความละเอียดที่สูง ซึ่งกาแฟแต่ละประเภทมีรายลายละเอียดขึ้นตอนการบดที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นคุณต้องศึกษาให้ดี กว่าเมล็ดกาแฟที่คุณทานเป็นประจำนั้น ต้องบดด้วยเครื่องอะไร ไม่ว่าจะใช้เครื่องบดหรือมือบด หัวใจหลักของการดื่มกาแฟนั่นก็คือความหอมละมุนที่คุณจะได้กลิ่น ยิ่งถ้าเป็นกาแฟ ‘อะมา’ ด้วยแล้วนั้น เราบอกได้เลยว่ากลิ่นของกาแฟอาราบิก้าแท้ จะทำให้คุณนั้นฟินกับกลิ่นที่ไม่เหมือนใคร อีกทั้งรสชาติของกาแฟอะมา ยังโดดเด่นในเรื่องของความเข้มข้น แต่ยังอบอวนไปด้วยความนุ่มละมุนลิ้น ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่ากาแฟอะมาถูกปลูกด้วยระบบออร์แกนิคและถูกคั่วจนหอมจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านกาแฟโดยตรง ทำให้กาแฟอะมากลายเป็นผลิตที่ชาวอาข่าบนดอยปางขอน จังหวัดเชียงราย ภาคภูมิใจที่จะนำเสนอมากที่สุดอีกชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้

Posted on

รวมเครื่องปรุงแสนหวานที่คุณต้องมี ถ้าคิดจะเป็น Coffee shop

สำหรับใครที่กำลังมีแพลนจะเปิดร้าน Coffee Shop หรือพึ่งเปิดร้านกาแฟไปได้ไม่นาน บทความนี้คงจะเป็นประโยชน์ให้คุณได้ไม่มากก็น้อย เพราะวันนี้เราได้รวบรวมเครื่องปรุงเพิ่มความหวานของกาแฟมาฝาก ซึ่งบอกได้เลยว่าแต่ละเครื่องปรุงที่เรากำลังจะกล่าวถึงนั้น ถือว่าเป็นไม้เด็ด ที่จะสร้างกำไร แถมทำให้ลูกค้าประทับใจในเรื่องรสชาติของกาแฟอีกด้วยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เตรียมสมุด ปากกา ไว้ให้ดี แล้วไปจดเครื่องปรุงเพิ่มความหวานชนิดต่าง ๆ พร้อม ๆ กันเลย

นมข้น

เรียกได้ว่าเป็นความหวานแบบคลาสสิกเลยก็ว่าได้ ซึ่งนมข้นนั้นจะให้รสชาติที่หวานมันเป็นอย่างมาก แต่ นมข้นอาจจะไม่เหมาะกับการชงกาแฟที่เน้นกลิ่น เน้นสัมผัสเท่าไหร่นัก เพราะกลิ่นของตัวนมข้นเองจำกลบความหอมและรสชาติของกาแฟจนแทบจะไม่เหลือเลยล่ะ

น้ำตาเกล็ด (คาราเมล)

น้ำตาลเกล็ดถือว่าได้เป็น Item เด็ดประจำร้าน Coffee Shop เลยก็ว่าได้ เพราะตัวน้ำตาลเกล็ดนี้ จะให้ความหวานแบบพอดี ๆ นวล ๆ ไม่หวานโดด และจะค่อย ๆ ละลายไปอย่างช้า ๆ ซึ่งผู้คนส่วนมาก ไม่นิยมคนน้ำตาลเกล็ดกัน แต่จะปล่อยให้ตัวน้ำตาลนั้นละลายไปเองตามธรรมชาติซึ่งส่วนใหญ่แล้ว กลิ่นของคาราเมลจะออกมาเมื่อคุณได้ดื่มกาแฟหมดแก้วแล้ว

น้ำตาลทรายแดง

กล่าวขึ้นมาว่าเป็นน้ำตาลทรายแดง หลาย ๆ คนถึงกลับร้องยี๋ เพราะกลัวอ้วน แต่แท้ที่จริงแล้วน้ำตาลประเภทนี้ เหมาะมากสำหรับคนที่รักสุขภาพ เพราะน้ำตาลทรายแดงนั้น ไม่ผ่านการขัดสีหรือปรุงแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเอกลักษณ์ของน้ำตาลทรายนี้คือจะกลิ่นที่หอมอ่อน ๆ รสชาติที่ไม่หวานจนเกินไป ยิ่งถ้าได้ผสมกับกาแฟสดด้วยแล้ว ขอบอกเลยฟินสุดๆ

Hidden Content

หญ้าหวาน


มาต่อกันด้วยเครื่องปรุงกาแฟที่เน้นสุขภาพแบบสุดๆ อย่างหญ้าหวาน ซึ่งการเพิ่มรสชาติให้กาแฟด้วยหญ้าหวาน อาจจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก เพราะตัวของหญ้าหวานเองมีกลิ่นเฉพาะและส่งผลให้ไปกลบกลิ่นของกาแฟอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ ก็มีหลาย ๆ คนยอมที่จะใช้หญ้าหวานแทนสารให้ความหวานอื่น ๆเพราะห่วงในเรื่องของน้ำตาลที่จะได้รับเข้าไปนั่นเอง


เครื่องปรุงอื่นๆ (แล้วแต่สะดวกของทางเจ้าของร้าน) เครื่องปรุงหรือส่วนผสมในหมวดนี้ อาจจะไม่ได้มีผลต่อรสชาติโดยตรง แต่มีผลต่อความรู้สึกชัวร์ ๆ ว่าถ้าร้านไหนมีเครื่องปรุงพวกนี้เป็นเครื่องปรุงเสริม ก็จะสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าไปได้ง่ายๆ เลยล่ะ


โดยเครื่องปรุงเสริมจะถูกจัดใส่ขวดเล็ก ๆ ไว้หน้าเคาน์เตอร์เช่น ผงช็อกโกแลต ซินนาม่อน อบเฉย โกโก้ เป็นต้น แต่ ไม่ว่าคุณจะเตรียมเครื่องปรุงครบขนาดไหน สิ่งที่เราอยากให้คุณใส่ใจและห้ามลืมในการเปิดร้าน Coffee Shop อย่างเด็ดขาด
นั่นก็คือ…เมล็ดกาแฟ โดยคุณต้องคัดสรรเมล็ดกาแฟที่มี อย.รับรอง และผ่านมาตรฐาน GMP อย่างเช่น
‘กาแฟอะมา’ กาแฟอาราบิก้าแท้ 100% ที่เต็มไปด้วยคุณภาพจากดอยปางขอน จังหวัดเชียงราย ซึ่งกาแฟอะมานี้มีความโดดเด่นในเรื่องของรสชาติที่เข้มข้น แต่ยังคงไว้ด้วยสัมผัสที่นุ่มนวล ไม่ติดรสเปรี้ยว และจัดว่าเป็นกาแฟออร์แกนิค
เพราะชนเผ่าอาข่าได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจในการปลูกต้นกาแฟอย่างพิถีพิถัน ไร้สารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้กาแฟอะมากลายเป็นกาแฟต้นแบบที่ Coffee Shop หลาย ๆ ที่ไว้วางใจและเลือกใช้นั่นเอง

Posted on

พาไปรู้จัก Cold brew เมนูกาแฟยอดฮิต ที่หลายคนยังไม่รู้จัก

เมื่อก่อนเวลาเดินเข้าร้านกาแฟ เมนูที่มักจะได้ยินบ่อยๆ ก็จะเป็น Espresso, Americano, Latte, Cappuccino ซึ่งเมนูเหล่านี้ก็เป็นอะไรที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว แต่ช่วงหลังๆ มานี้จะมีเมนูหนึ่งที่ได้ยินและเป็นที่นิยมมากๆ นั่นก็คือกาแฟ Cold brew เชื่อว่ายังมีหลายคนเกิดความสงสัยว่ามันคืออะไร มันต่างจากกาแฟทั่วๆ ไปยังไง วันนี้เรามีคำตอบมาฝากกัน ตามไปดูกันเลย

Cold brew คืออะไร?

Cold brew หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กาแฟสกัดเย็น นั่นเอง Cold brew เป็นกาแฟที่ชงหรือสกัดด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำ เช่น น้ำอุณหภูมิห้อง หรือน้ำเย็น ซึ่งการชงกาแฟด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำทำให้สารต่างๆ ในกาแฟละลายออกมาได้น้อยกว่าการชงด้วยน้ำร้อนแบบปกติ ซึ่งใช้เวลานานในการชงมากถึง 16-20 ชั่วโมง ไม่แปลกที่ราคามันจะสูง

Cold brew มีรสชาติเป็นยังไง?

อย่างที่บอกไปว่าพอชงหรือสกัดกาแฟด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำ ทำให้สารต่างๆ ในเมล็ดออกมาไม่มาก ทำให้ได้กาแฟที่มีรสชาตินุ่มนวล กลมกล่อม ไม่เข้มมาก ที่สำคัญยังไม่มีรสเปรี้ยวน้อยกว่ากาแฟปกติเพราะการสกัดด้วยน้ำเย็นจะมี Acidity น้อยกว่าการสกัดด้วยน้ำร้อน

Cold brew มีกี่ประเภท มีแบบไหนบ้าง?

ถ้าแบ่งตามวิธีการสกัด Cold brew จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท นั่นก็คือ

  1. การสกัดเย็นแบบเเช่ (Immersion) เป็นการนำกาแฟบดหยาบไปแช่ในน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำ เพื่อให้เกิดการสกัดกาแฟอย่างต่อเนื่อง แล้วทิ้งไว้ประมาณ 16-20 ชั่วโมง หรืออาจทิ้งไว้นานกว่านั้นก็ได้ เวลาสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามระดับการบดหรือรสชาติที่ต้องการ ซึ่งโดยปกติการสกัดด้วยวิธีนี้จะบดกาแฟประมาณเศษขนมปังป่น และควรแช่ที่ชงไว้ในตู้เย็นอีกทีเพื่อคงอุณหภูมิเอาไว้ เมื่อแช่ถึงเวลาให้กรองเอากากกาแฟออก
  1. การสกัดเย็นแบบหยด (Cold Drip) เป็นการหยดน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำลงบนผงกาแฟทีละหยด ซึ่งใช้เวลาในการสกัดนานมาก โดยทั่วไปมักปล่อยน้ำ 1 หยดต่อ 1 วินาที หากต้องการรสชาติที่เข้มข้นขึ้น อาจปรับเป็น 1 หยด ต่อ 2–3 วินาที ระดับการบดประมาณเศษขนมปังป่น เหมือนวิธีการสกัดเย็นแบบเเช่ก็ได้ น้ำจะค่อยๆ หยดผ่านตัวกาแฟ และซึมลงสู่โหลด้านล่างอย่างช้าๆ ถ้าเจอกาแฟที่สกัดด้วยวิธีนี้แล้วมีราคาสูงก็ไม่ต้องแปลกใจแต่อย่างใด
Hidden Content

มีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อรสชาติของ Cold brew?

ถึงวิธีสกัดจะดูง่าย แต่จริงๆ แล้วต้องใส่ใจรายละเอียดอยู่เหมือนกัน เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อรสชาติของกาแฟ Cold brew ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิของน้ำที่ใช้ สัดส่วนของกาแฟต่อน้ำ ระดับการบด การรบกวนกาแฟ รวมไปถึงระยะเวลาที่ใช้ในการสกัดด้วย

นอกจากการเลือกวิธีสกัดที่เหมาะสมจะทำให้ได้กาแฟที่รสชาติดีแล้ว การเลือกเมล็ดกาแฟก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมาก “อะมา” เมล็ดกาแฟคุณภาพสูง ที่จะทำให้กาแฟแก้วโปรดของคุณพิเศษ ไม่เหมือนกาแฟทั่วๆ ไป “อะมา” เป็นแบรนด์เมล็ดกาแฟชนิดพิเศษของไทยแท้ๆ ที่หาดื่มได้ยาก ผลิตด้วยความตั้งใจของชาวเขาเผ่าอาข่า ให้รสชาตินุ่มนวล กลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ สั่งซื้อเมล็ดกาแฟได้ที่ https://www.amaexoticcoffee.com/ รับประกันคุณภาพคับแก้ว

Posted on

อยากซื้อเครื่องชงกาแฟแบบไหนดี พาทำความรู้จักก่อนตัดสินใจ

อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าการจะชงกาแฟสักแก้วหนึ่งให้อร่อย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดกาแฟ การคั่ว การบด ทุกอย่างล้วนสำคัญ โดยเฉพาะการชง

เชื่อเหลือเกินว่าคอกาแฟตัวจริงต้องอยากมีเครื่องชงเป็นของตัวเองอย่างแน่นอน และสำหรับใครที่มีแพลนว่าจะซื้อเครื่องชงกาแฟแต่ไม่รู้จะซื้อแบบไหนดี วันนี้เรามีเครื่องชงกาแฟที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมาฝาก จะได้เอาไว้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อ

Espresso Machine

เครื่องชงกาแฟแบบเอสเปรสโซ ได้รับความนิยมพอสมควร ด้วยกระบวนการกลั่นโดยที่ใช้น้ำน้อยที่สุดจึงทำให้ได้กาแฟที่เข้มข้น และมีกลิ่นหอมมากๆ แต่ด้วยราคาและขนาดของเครื่องชงแบบเอสเปรสโซจึงถูกใช้งานมากในร้านกาแฟ คาเฟ่ต่างๆ มากกว่าการใช้ที่บ้าน

French Press

เครื่องชงกาแฟแบบเฟรนซ์เพรส เป็นการชงกาแฟแบบฝรั่งเศษ ถูกคิดค้นและพัฒนาโดยฝรั่งเศษ มีลักษณะเป็นแบบลูกสูบ หลักการทำงานคือจะมีส่วนของปากกาที่เอาไว้รินน้ำกาแฟ ใส่ผงกาแฟลงไปในกระบอกที่เรียกว่า Plunger แล้วเทน้ำร้อนให้ท่วมผงกาแฟ รอจนผงกาแฟชุ่มน้ำ แล้วกดลูกสูบเพื่อให้ได้น้ำกาแฟไหลออกมา

Drip Coffee

เครื่องชงกาแฟแบบดริป หรือเครื่องชงกาแฟแบบหยด ได้รับความนิยมเนื่องจากใช้งานง่าย ราคาถูก โดยใช้น้ำร้อนประมาณ 80 องศาเซลเซียส รินรดบนผงกาแฟ ไหลผ่านกระดาษกรอง และรอให้น้ำกาแฟหยดลงมา กาแฟที่ได้จะมีรสชาติกลางๆ ไม่เข้มมาก

Moka pot

เครื่องชงกาแฟแบบมอคคาพอต มีการทำงานคล้ายๆ กับเครื่องชงกาแฟแบบเอสเปรสโซ ทำงานโดยต้มน้ำกลั่นไอผ่านผงกาแฟ ช่วยให้น้ำกาแฟที่ได้มีความเข้มข้น ไม่ต่างจากเครื่องชงกาแฟแบบเอสเปรสโซ่เท่าไหร่

Percolator

เครื่องชงกาแฟแบบเพอร์โคเลเตอร์ เป็นเครื่องชงแบบหม้อต้มลักษณะคล้ายกาน้ำร้อน ใช้งานง่าย เครื่องจะต้มน้ำจนเดือด จากนั้นจะปล่อยให้น้ำไหลไปตามท่อปั๊มผ่านตะกร้าที่ใส่ผงกาแฟ เพื่อให้ได้น้ำกาแฟหยดลงสู่เหยือก มีราคาสูง นิยมใช้ตามโรงแรม หรือร้านอาหาร

Syphon

เครื่องชงกาแฟแบบสุญญากาศ เป็นแก้วใสมองเห็นกระบวนการต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ใช้ความดันไอน้ำ ส่วนบนจะมีฟิลเตอร์สำหรับใส่กากกาแฟคั่วบดละเอียด วิธีการต้มต้องจุดด้วยตะเกียงแอลกอฮอล์ พอน้ำเดือดไอน้ำจะลอยขึ้นไปโดนตัวฟิลเตอร์ เมื่อดับตะเกียง ระบบจะทำการกรองน้ำกาแฟให้ไหลลงมาด้านล่าง

ถ้าเลือกเครื่องชงกาแฟได้แล้ว ก็อย่าลืมเลือกเมล็ดกาแฟคุณภาพสูงอย่าง “อะมา” แบรนด์ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด ปลูกกาแฟในแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ทำให้ได้เมล็ดกาแฟที่ให้รสชาติเป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนที่อื่น ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กาแฟแก้วโปรดของคุณได้ดีเลยทีเดียว สั่งซื้อได้ที่ https://www.amaexoticcoffee.com/

Posted on

รวม 5 เทคนิค คั่วกาแฟอย่างไร ให้ออกมาดีที่สุด!

ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ที่ทานกาแฟมักจะตามหารสชาติที่นุ่มลึก เข้มข้น กลมกล่อมอย่างลงตัวของกาแฟสด มากกว่าจะเน้นความสบายฉีกซองชงกินให้จบๆ ไป แถมหลายๆ คนก็เริ่มหันมาชงกาแฟสดดื่มเองที่บ้าน แต่ทั้งนี้การทำกาแฟสดส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดปัญหาอย่างการที่รสชาติไม่เหมือนกับที่ร้านกาแฟ ไหนจะขมเกินไป มีกลิ่นไหม้ หรือรสชาติไม่ตรงตามความต้องการของเราอีก ซึ่งบอกเลยว่าปัญหานี้เป็นปัญหาโลกแตกที่จะไม่มีวันคลี่คลายเลยถ้าคุณไม่ได้ทำความเข้าใจในเทคนิคการคั่วกาแฟเหล่านี้

ความร้อนต้องเหมาะสม

ความร้อนในการคั่วถือเป็นเรื่องแรกที่คนคั่วกาแฟจะต้องใส่ใจและคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด นั่นก็เพราะความร้อนที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป สามารถส่งผลต่อรสชาติขมของกาแฟได้ รวมทั้งอาจทำให้เมล็ดกาแฟของเราเกิดไหม้หรือไม่สุก เทคนิคที่ดีคือเราต้องตั้งความร้อนให้เหมาะสม แล้วค่อยๆ เพิ่มความร้อนไปเรื่อยๆ จนสุกนั่นเอง

เตาได้มาตรฐาน

แน่นอนว่าการคั่วจะออกมาดีได้ อุปกรณ์ที่ใช้งานย่อมต้องมีคุณภาพและมาตรฐานด้วยนะ การเลือกซื้อเตาคั่วกาแฟจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด ควรจะเลือกเตาที่สามารถตั้งอุณหภูมิได้ เลือกขนาดตามปริมาณที่เราต้องการใช้จริง และต้องเลือกแบบที่มีมาตรฐานด้วย

รสชาติแตกต่างตามระดับ

สาเหตุที่เราคั่วกาแฟออกมาไม่ได้รสชาติตามที่ต้องการ เหตุผลก็คือเราอาจจะคั่วกาแฟออกมาไม่ถูกระดับนั่นเอง! โดยกาแฟคั่วระดับอ่อน จะมีรสชาติออกเปรี้ยวจากกรดผลไม้ผสมอยู่ ต่อมาคือกาแฟคั่วระดับปานกลาง ซึ่งจะมีความเข้มข้นขึ้นมาอีกระดับ และมีความหอมเหมาะกับการชงเป็นกาแฟร้อน สุดท้ายคือกาแฟคั่วระดับเข้ม แน่นอนว่ารสชาติจะเข้มข้นมากที่สุด เหมาะกับการชงแบบเอสเพรสโซ่ที่มีความเข้มข้นสูง

การใช้ลมและไฟ

อีกหนึ่งเทคนิคก็คือการเลือกเปิดปิดลมระหว่างที่คั่วกาแฟ รวมทั้งการเร่งระดับและลดระดับของไฟลง สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกับรสชาติของกาแฟ เราจึงต้องคอยระวังในการควบคุมจังหวะให้อยู่ในระดับที่เหมาสม ซึ่งถึงแม้อาจจะฟังดูยากไปนิด แต่ถ้าลองศึกษาเพิ่มเติมก็จะทำให้กาแฟคั่วของเราออกมาไร้ที่ติเลยล่ะ

ใช้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ

งานนี้จะขาดหัวใจหลักของการคั่วกาแฟอย่าง “เมล็ดกาแฟ” ไปไม่ได้ การเลือกเมล็ดกาแฟควรเลือกชนิดที่มีคุณภาพ มาจากแหล่งปลูกที่ได้มาตรฐาน สดใหม่ ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี มีกลิ่นหอม และยิ่งถ้าเป็นกาแฟออแกนิคก็ยิ่งดีมากๆ หากเลือกวัตถุดิบที่ดี กาแฟที่เราคั่วก็จะออกมามีรสชาติดีแน่ๆ

หลายๆ คนที่ได้รู้เทคนิคเหล่านี้แล้วก็อย่าลืมนำไปปรับใช้กัน รับรองว่าปัจจัยต่างๆ นี้จะต้องช่วยทุกคนได้ไม่มากก็น้อย คราวนี้กาแฟคั่วของทุกคนจะต้องออกมารสชาติดี กลมกล่อม หอมกรุ่น แถมยังตรงใจจนไม่อยากไปร้านกาแฟอีกแน่นอน

Posted on

วิธีการ Drip กาแฟ เพื่อรสชาติที่ดีที่สุด

Drip กาแฟ เป็นการชงกาแฟที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและเป็นวิธีการชงกาแฟที่ง่าย ซึ่งในอดีตการดริปกาแฟเป็นที่นิยมในทวีปยุโรป สแกนดิเนเวีย เกาหลี และญี่ปุ่น โดยการดริปกาแฟสามารถที่จะดึงรสชาติของกาแฟคั่วบดออกมาได้เป็นอย่างดี

การจะดริปกาแฟให้อร่อยนั้นมีหลากหลายเทคนิค ไม่ว่าจะเป็น การคัดสรรคุณภาพของเมล็ดกาแฟที่ต้องผ่านการคั่วสดใหม่ อย่างกาแฟแบรนด์ อะมา เป็นกาแฟที่มีรสชาติพิเศษไม่เหมือนใคร

นอกจากนี้ขั้นตอนการเก็บเมล็ดกาแฟก็ยังเป็นจุดสำคัญที่ต้องเก็บในภาชนะที่ห่อถูกปิดสนิท ไม่ให้อากาศและความชื้นผ่านเข้าไปโดนเมล็ดกาแฟได้ เพราะจะทำให้เสียรสชาติ การดริปกาแฟมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก และเป็นหนึ่งในวิธีที่จะทำให้คุณได้ลิ้มลองรสชาติกาแฟที่ดีที่สุด

1.อัตราส่วนปริมาณกาแฟต่อน้ำ

ปริมาณของกาแฟและน้ำที่ใช้การดริปนั้นต้องมีอัตราส่วนที่พอดี หากใส่น้ำมากไปก็จะทำให้รสชาติของกาแฟนั้นจางลง ซึ่งในอัตราส่วนที่จะทำให้ได้รสชาติของกาแฟที่ดีที่สุดที่แนะนำคือ กาแฟ 1 กรัม ต่อน้ำ 15-17 กรัม โดยสามารถปรับปริมาณของน้ำได้ตามความชอบของแต่ละคน

2.ลักษณะของ Dripper

  • ลักษณะของตัวกรอง (filter) จะมีหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นกระดาษ, ผ้า, โลหะ ซึ่งในแต่ละอันนั้นจะมีจุดเด่นจุดด้อยที่ต่างกันออกไป อย่างเช่น ตัวกรองแบบโลหะรูของ Dripper จะใหญ่กว่า ทำให้ได้น้ำเยอะกว่า แต่จะมีผงกาแฟปนอยู่ในแก้วด้วย ซึ่งแบบกระดาษจะมีรูที่เล็กกว่าทำให้กรองผงกาแฟได้ดีกว่า ทำให้ได้น้ำที่ใสกว่า แต่บางทีอาจจะมีรสชาติของกระดาษติดในกาแฟแก้วนั้น จึงควรต้องล้างก่อนใช้
  • การไหลของน้ำ (Flow Rate) ลักษณะของรูใน Dripper ที่ให้น้ำไหลออกมานั้นก็มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งรูเล็กหนึ่งรู หรือหลายรู บ้างก็เป็นรูขนาดใหญ่ โดยถ้าการจะให้น้ำไหลช้าหรือไว ก็ขึ้นอยู่กับการบดขนาดกาแฟให้เหมาะสมกับ Dripper

3.ขนาดบดเมล็ดกาแฟ

ปัจจัยของขนาดในการบดเมล็ดกาแฟนั้นขึ้นอยู่กับรสชาติที่ต้องการ และลักษณะของ Dripper หาก Dripper มีรูขนาดเล็กก็ต้องบดกาแฟให้ละเอียด เพราะจะทำให้รสชาติมีความเข้มข้น

4.การเทน้ำและระยะเวลา

ระยะเวลาในการชง หากใช้เวลานานแสดงว่าการไหลของน้ำนั้นช้า จะทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้น แต่หากใช้เวลาไม่นานแสดงว่าน้ำไหลไว กาแฟจะมีรสชาติที่จางลง ซึ่งการเทน้ำถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการไหลของน้ำเช่นกัน

ในการเทน้ำร้อนลงไปในถ้วยดริป ควรเทให้ปริ่มๆกับระดับปริมาณของกาแฟก่อน และรอประมาณ 30-40 วินาที เพื่อให้กาแฟคลายแก๊ส (ไม่ควรเทจนเต็มแก้วดริปเลยตั้งแต่แรก จะทำให้เสียรสชาติ) แล้วจึงค่อยๆเทวนให้ได้ตามปริมาณน้ำที่ต้องการ

5.อุณหภูมิ

ยิ่งอุณหภูมิสูงยิ่งทำให้รสชาติของกาแฟนั้นเข้มขึ้น ซึ่งอุณหภูมิที่แนะนำจะอยู่ที่ประมาณ 92-94 องศา

การ Drip กาแฟเป็นกาแฟดำที่สามารถดื่มได้เลยโดยไม่ต้องปรุงแต่งจะทำให้คุณได้ลิ้มลองรสชาติของกาแฟที่ดีที่สุด และยังมีประโยชน์ต่อคนที่ต้องการลดน้ำหนักอีกด้วย นอกจากนี้ถ้าอยากได้รสชาติกาแฟที่ไม่เหมือนใคร ต้องไม่ลืมลอง กาแฟแบรน์ อะมา ปางขอน ที่นอกจากจะได้ดื่มกาแฟชนิดพิเศษ รสชาติดีเยี่ยม และยังได้ช่วยชาวเขาอีกด้วย

Posted on

วิธีการทำลาเต้อาร์ตรูปหัวใจ ฉบับมือใหม่หัดทำเองที่บ้าน

ลาเต้ “latte” เป็นอีกหนึ่งเมนูยอดฮิตตลอดกาลของสายกาแฟนมจะต้องรู้จัก และคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งแน่นอนว่า คำว่า “latte” ที่เราเรียกกันอยู่ประจำนั้น ในภาษาอิตาลีได้แปลอย่างตรงตัวว่า “นม” ซึ่งมาจากการผสมผสานระหว่างกาแฟดำที่มีการเน้นนมเป็นหลัก ที่ให้รสชาติกาแฟดำธรรมดาๆ นั้น เกิดความหอมมันนุ่มลึกนั่นเอง  

แต่สิ่งที่มาพร้อมกับลาเต้ร้อนๆ นั้น มันมีอะไรมากกว่าศิลปะการชงที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบาร์ คือลาเต้ อาร์ต (latte art) ที่บาริสต้าจะใช้นมมาทำเป็นลวดลายต่างๆ โดยการเทลายลงบนถ้วยกาแฟ ทำให้เกิดความสวยงาม และมีเสน่ห์ที่ดึงดูดใจของเหล่าสายกาแฟได้อย่างไม่น่าเชื่อ และวันนี้ เราจึงไม่พลาดที่จะพาทุกคนไปท่องโลกของลาเต้อาร์ตลายหัวใจ ที่คุณเองก็สามารถฝึกทำเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน แบบฉบับมือใหม่แกะกล่องกันเลย

ซึ่งการทำ Latte Art นั้นสามารถทำได้ 2 วิธีด้วยกัน ได้แก่

  1. การเทอิสระ (Free Pouring) เทคนิคนี้ดูเหมือนจะยากไปสำหรับมือใหม่หัดวาด เพราะเทคนิคการเทนมจาก Pitcher ลงบนถ้วยกาแฟนั้นต้องอาศัยการควบคุมความนิ่งของข้อมือและการจับจังหวะการเทนม จนได้เป็นลวดลายลาเต้อาร์ตออกมา ดังนั้นวิธีนี้จึงต้องใช้ความชำนาญระดับหนึ่งของบาริสต้าแท้ๆ เลยล่ะ
  2. การแกะ (Etching) วิธีนี้เป็นเทคนิคที่ง่ายๆ เหมาะสำหรับมือใหม่แบบเรา คือการใช้การลาก แกะ เขี่ย วาด หยอดนมลงในกาแฟดำ เพื่อสร้างสรรค์ลายกาแฟใหม่ๆ ขึ้นมาได้จากจินตนาการ ด้วยอุปกรณ์ง่ายๆ เช่น ไม้จิ้มฟัน ช้อน และอื่นๆ 

โดยมีวิธีการทำ ดังนี้

  1. เตรียม Espresso shot ใส่ถ้วยไว้ตามสูตรกาแฟของแต่ละคนเลย
  2. เทนมลงไปประมาณ 40% ของถ้วย 
  3. และค่อยๆ เริ่มต้นด้วยการเอียงข้อมือที่ถือถ้วย ทำให้ถ้วยทำมุมได้ 45% องศา
  4. เทลงไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยมขึ้นมาสัมผัสผิวหน้ากาแฟ 
  5. จากนั้นให้ค่อยๆ ส่ายข้อมือให้รูปภาพสามเหลี่ยมของเรานั้นได้กระจายออก
  6. หยุดเท แล้วเอียงถ้วยขึ้นมาเล็กน้อย และค่อยๆ เทโฟมนมลงไปอย่างต่อเนื่อง โดยพยายามบังคับให้รูปสามเหลี่ยมนั้นรวมตัวกันอยู่ที่จุดศูนย์กลาง
  7. ขั้นตอนสุดท้ายของการเทโฟมนมเป็นรูปหัวใจคือ ให้ค่อยๆ ลดปริมาณการเทลง และเพิ่มระดับความสูงของการเทขึ้น และตัดจบด้วยการขีดเส้นลงไปตรงกลางของรูปสามเหลี่ยมนั้น

เห็นไหมคะว่าไม่ยากเลย สำหรับใครที่มีความตั้งใจจะทำกาแฟหอมกรุ่น กับเมนูอื่นๆ ด้วยตัวเองที่บ้าน คลิกเลย https://www.amaexoticcoffee.com นอกจากได้ความรู้แล้ว คุณยังจะได้สัมผัสกาแฟแท้ๆ จากชุมชนอาข่า ปางขอนอีกด้วย!

Posted on

ไขข้อสงสัย กาแฟเบลนด์พิเศษ คืออะไร?

ธุรกิจร้านกาแฟได้ผุดขึ้นตามจังหวัดต่างๆ มากมาย ซึ่งร้านแต่ละร้านนั้นก็จะมีสูตร และเทคนิคการชงกาแฟที่ให้กลิ่นและรสชาติที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ กาแฟยังมีอีกหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นกาแฟชง กาแฟแบบดริฟ หรือกระทั่งกาแฟแบบเบลนด์ ดังนั้นวันนี้เราจึงขอยกหัวข้อเกี่ยวกับการเบลนด์กาแฟ ในรูปแบบที่ ไขข้อสงสัย กาแฟเบลนด์พิเศษคืออะไร?

กาแฟเบลนด์คืออะไร?

coffee blend  คือ การ “ผสม” โดยการนำเมล็ดกาแฟ 2 พันธุ์ขึ้นไปมาผสมกันในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อสร้างรสชาติที่แตกต่าง อร่อย และซับซ้อนขึ้น รวมถึงเพื่อสร้างกาแฟให้เกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของร้านเราขึ้นมา โดยการใช้ characteristic (ลักษณะพิเศษเฉพาะ) ของเมล็ดกาแฟที่แตกต่างกันมาผสมรวมกัน เกิดเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ ให้ความแตกต่าง 

ซึ่งความแตกต่างนั้นอาจเกิดได้จาก

1. อายุของเมล็ดกาแฟที่ต่างกัน
2. ระดับการคั่วต่างกัน 
3. สายพันธุ์ต่างกัน 
4. เชื้อสายต่างกัน
5. แหล่งเพาะปลูกต่างกัน

ซึ่งข้อดีของการเบลนด์ก็คือ 

  1. แน่นอนว่าสร้างเอกลักษณ์ให้ร้านของคุณ โดยการนำคุณสมบัติของเมล็ดกาแฟสายพันธุ์นั้นๆ ขึ้นมาสร้างเรื่องราว และรสชาติที่ไม่มีใครเหมือน
  2. ประหยัดต้นทุนและสามารถปกปิดจุดด้อยของกาแฟตัวอื่นๆ ได้ด้วย
  3. ให้ความสุนทรีย์มากขึ้นกว่าที่จะได้รับจากกาแฟชนิดเดียว 
  4. อาจได้รับความแปลกใหม่ในรสชาติกาแฟจากการเบลนด์ได้อย่างคาดไม่ถึง

เราสามารถเบลนด์ได้ 2 วิธี 

  1. เบลนด์ก่อนใส่ลงไปคั่ว เหมาะสำหรับคนที่ชอบกาแฟที่มีรสชาติกลมกลืนไปในทางเดียวกัน
  2. คั่วกาแฟแต่ละชนิดแบบแยกกัน และนำมาผสมกันทีหลัง เพื่อดึงเอากลิ่นรสที่ดีที่สุดของกาแฟชนิดนั้นๆ ตามที่เราต้องการ

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่าการเบลนด์ นับเป็นอีก 1 องค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างเอกลักษณ์ และบริบทใหม่ ซึ่งผู้ที่ทำการเบลนด์จะต้องเลือกกาแฟ โดยเริ่มจากการทดลองว่ากาแฟแต่ละตัวนั้นมีกลิ่นรสอย่างไรบ้าง เมื่อคั่วในระดับต่างๆ กัน แล้วค่อยๆ ปรับเปลี่ยนดัดแปลงองค์ประกอบต่างๆ เช่น ลองใช้กาแฟที่คั่วเข้มกว่า อ่อนกว่า หากมันยังไม่เข้ากัน ก็ต้องลองเปลี่ยนกาแฟไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้กาแฟที่ตรงใจเราอย่างดีที่สุด โดยสามารถเข้ามาปรึกษาหรือซื้อเมล็ดกาแฟได้จากอะมา ปางขอน คลิก https://www.amaexoticcoffee.com/ เป็นเมล็ดกาแฟที่เกิดจากการปลูกกาแฟเพื่อขายเมล็ดของชาวอาข่าในพื้นที่ จนส่งผลให้เกิดการฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำและแพร่ขยายเพิ่มมากขึ้นเป็นวงกว้าง

Posted on

เครื่องชงกาแฟ Moka Potกับ French Press ต่างกันยังไง?

ควรเลือกแบบไหนดี?สำหรับมือใหม่ที่ชอบการดื่มกาแฟและสนใจอยากจะเริ่มต้นชงกาแฟสดดื่มเองที่บ้านก็คงจะกำลังมองหาเครื่องชงกาแฟเล็กๆ คุณภาพดีๆใช้งานง่ายไม่ซับซ้อนแบบที่เหมาะกับผู้เริ่มต้นสักอันเอาไว้ชงเองที่บ้านกันอยู่ซึ่งก็อาจจะประสบปัญหาในเรื่องของความสับสนและเลือกไม่ถูกว่าควรจะเลือกซื้อแบบไหนดี

เราเลยอยากจะมาแนะนำเครื่องชงกาแฟสองชนิดที่เหมาะกับมือใหม่สุดๆนั่น ก็คือ Moka Pot กับ FrenchPressนั่นเอง แต่ว่าทั้งสองแบบจะต่างกันยังไง หรือควรจะเลือกแบบไหนดี เราลองไปดูข้อมูลกันก่อนดีกว่า!

เครื่องชงกาแฟ Moka Pot

Moka Pot หรือก็คือเครื่องชงแบบกาต้มกาแฟ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอิตาลีโดยการชงจะใช้เวลาประมาณ 3-5 นาที ซึ่งก็ถือว่ารวดเร็วมากๆ
หลักการทำงานของเจ้าเครื่องนี้ จะมีความคล้ายกับ Espresso Machineถึงจะไม่ได้คุณภาพเท่ากัน 100% แต่ก็เรียกได้ว่าเหมือนกับมีเครื่องชง Espresso ขนาดเล็กอยู่ในบ้านเลยทีเดียว วิธีการทำงานของเครื่อง MokaPotจะเป็นการต้มน้ำ และกลั่นไอผ่านผงกาแฟ ขั้นตอนการใช้งานก็ไม่ซับซ้อนเหมาะกับมือใหม่มากๆ เริ่มจากใส่น้ำลงในกาต้มกาแฟจนถึงขีดที่มีแนะนำไว้ ถ้าอยากให้ใช้เวลาไวขึ้นก็สามารถใช้เป็นน้ำร้อนแทนได้ จากนั้นนำกาแฟสดที่บดไว้แล้วใส่ในกรวยกาแฟ
ประกอบทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วนำไปต้มด้วยความร้อนกลางๆ บนเตาแก๊ส เมื่อความร้อนได้ที่ไอน้ำก็จะดันผ่านผงกาแฟ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย!

เครื่องชงกาแฟ French Press

ส่วน French Press นั้นแค่เห็นชื่อก็คงจะเดากันได้แล้วว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศสเครื่องชงแบบฝรั่งเศสนี้มีลักษณะแบบลูกสูบซึ่งใช้เวลาการชงประมาณ 4 นาที
หลักการทำงานนั้นมีความเรียบง่ายมากๆโดยจะเป็นการชงกาแฟแบบเอาเมล็ดกาแฟแช่กับน้ำร้อนให้ชุ่มน้ำแล้วกด โดยวิธีนี้จะทำให้เราสกัดกาแฟได้อย่างสม่ำเสมอ เริ่มที่เราใช้ผงกาแฟที่บดไว้แบบหยาบมาใส่ในกระบอก Plunger ของเครื่อง เทน้ำร้อนจนท่วมผงกาแฟ ปิดฝาไว้ซัก 4 นาทีแล้วค่อยๆกดหัวปั้มลงไปให้ผงกาแฟที่ไม่ละลายไปอยู่ที่ใต้เครื่องชง แล้วเอากาแฟออกทันทีความเหมือนและความแตกต่าง?

ถ้าพูดถึงในเรื่องของระยะเวลาการชงของเครื่องชงกาแฟทั้งสองแบบนั้นต้องบอกเลยว่าใกล้เคียงแทบไม่แตกต่างกันมากนัก แถมทำง่ายสุดๆกันทั้งคู่เลยด้วย ไม่ต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์อะไรมากมายแต่ถ้าพูดถึงในเรื่องของรสชาตินั้น สำหรับ Moka Pot น้ำกาแฟที่ได้รับจะมีความใกล้เคียงกับการชงแบบ Espresso ก็คือรสชาติจะออกเข้มๆ ขมๆ หน่อย ในขณะที่แบบ French Press รสชาติจะอ่อนกว่า เป็นรสกลาง ๆ นุ่ม ๆ คล้าย Americano นั่นเองแต่วิธีการชงแบบ French Press ก็อาจทำให้เกิดผงกาแฟตกค้างบ้าง ส่วน MokaPot นั้นจะไม่มี

ควรเลือกแบบไหนดีที่สุด?

เชื่อว่าเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายๆคนก็คงจะมีเครื่องชงกาแฟที่รู้สึกถูกใจกันแล้วล่ะ เราอยากจะบอกว่าจริงๆเครื่องทั้งสองแบบก็ดีด้วยกันทั้งคู่ เหมาะกับทั้งมือใหม่และมือโปรที่อยากจะมีเครื่องชงกาแฟสดติดไว้ที่บ้าน แต่ถ้าใครยังไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหนก็ให้ลองนึกภาพว่า เราชอบวิธีการชงแบบไหนมากกว่าและรสชาติกาแฟที่เราชอบเป็นแบบไหนแค่นี้ก็จะได้เครื่องชงกาแฟที่ถูกใจแล้วล่ะเนอะ!

Posted on

อยากได้รสชาติกาแฟที่ดีที่สุด ต้องบดกาแฟแบบไหนดี?

การบดกาแฟ เป็นอีกเรื่องที่นักชงกาแฟมือใหม่หลายๆคนอาจจะยังสงสัยในเรื่องของเทคนิคต่างๆ อยู่ อย่างเช่นว่าเราควรจะบดกาแฟแบบไหนถึงจะดีที่สุด?
ทำไมบางครั้งเลือกใช้เมล็ดกาแฟคุณภาพดีมากๆแต่ก็ยังชงออกมาไม่อร่อยเหมือนที่คนอื่นทำ?หรืออาจจะตั้งคำถามในใจว่าการบดกาแฟต้องมีเทคนิคอะไรด้วยเหรอ?
ไม่ใช่ว่าบดๆ ไปก็ออกมาเหมือนกันงั้นเหรอเนี่ย!

ซึ่งบทความนี้เราจะพาเพื่อนๆนักชงมือใหม่หรือคนที่สนใจอยากจะลองชงกาแฟสดดื่มเองที่บ้านไปดูกันว่าการบดกาแฟแบบไหนจะใช่ที่สุด!

ทำไมการบดกาแฟถึงสำคัญ?

ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ สำหรับบางคนนะคะ แต่ในความจริงแล้วนั้นการบดกาแฟเป็นตัวแปรสำคัญเลยล่ะที่จะกำหนดทิศทางรสชาติและกลิ่นของกาแฟ ยกตัวอย่างเช่น กาแฟที่ถูกบดละเอียดจะช่วยให้สามารถสกัดรสชาติได้มากยิ่งขึ้นในขณะที่การบดกาแฟแบบหยาบๆ จะทำให้ต้องใช้เวลาสกัดรสชาติออกมานานขึ้นกว่าเดิมและต่อให้เราจะมีเมล็ดกาแฟที่ดีแค่ไหนแต่ถ้าบดผิดวิธีก็อาจจะทำให้ออกมาไม่ดีได้ซึ่งการบดกาแฟที่ดีควรที่จะมีความสม่ำเสมอเท่าๆ กันด้วยนะ

การบดกาแฟแบ่งเป็นกี่ระดับ

โดยทั่วไปแล้วการบดกาแฟจะแบ่งได้ 4 ระดับตามนี้ค่ะแบบหยาบ (Coarse grind) : ลักษณะจะมีความเป็นก้อนอยู่บ้าง คล้ายๆกับดินปลูกต้นไม้
แบบปานกลาง (Medium grind) : มีขนาดเล็กลงมาจากแบบหยาบคล้ายกับทรายนั่นเอง
แบบละเอียด (Medium fine grind) : ลักษณะคือมีความละเอียดประมาณเกลือ
แบบละเอียดมาก (Fine grind) : มีความเล็กละเอียดกว่าน้ำตาลนิดหน่อย

แต่ก็ยังไม่ละเอียดเท่าแป้งการจับคู่ระดับการบดกาแฟกับเครื่องชงสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเสมอในการบดกาแฟ ก็คือต้องเลือกใช้ระดับการบดกาแฟให้เข้ากับรูปแบบการชงของเรานั่นเองเพราะเครื่องชงกาแฟแต่ละแบบก็จะมีวิธีการชงที่แตกต่างกันออกไปและแน่นอนว่าย่อมต้องการกาแฟที่มีระดับการบดต่างกันด้วย
แบบหยาบ : เหมาะกับการชงแบบ French Pressเพราะว่าจะต้องนำผงกาแฟมาแช่ในน้ำร้อนนานๆและไม่ควรใช้แบบละเอียดเกินไปที่จะทำให้ตะกอนหรือผงกาแฟลอดผ่านแผ่นกรอง นอกจากนี้ยังนิยมใช้กับการชงแบบสกัดเย็น (Cold Brew) เพราะต้องแช่น้ำนานการใช้แบบหยาบจะช่วยให้กาแฟไม่ขมมากเกินไปด้วย
แบบปานกลาง : เหมาะกับการชงแบบดริป (Pour Over or Filter Brewers)ที่จะใช้กระดาษกรอง และใช้น้ำร้อนเติมให้ซึมผ่านกาแฟ เพราะจะมีความพอดีที่สุดไม่หยาบไปจนน้ำซึมผ่านเร็ว หรือละเอียดไปจนทำให้น้ำซึมช้า
แบบละเอียด : เข้ากับการชงแบบ Moka Potที่ใช้แรงดันของความร้อนให้ระเหยผ่านกาแฟควรใช้แบบละเอียดเพราะจะช่วยให้กาแฟมีรสชาติเข้มข้นตามสไตล์ของเครื่องชงนี้
แบบละเอียดมาก : เหมาะกับเครื่องชง Espresso มากที่สุดเพราะเครื่องชงนี้จะมีแรงดันที่สูงมากและยังใช้เวลารวดเร็วจึงควรใช้กาแฟแบบละเอียดมากเพื่อให้เกิดการสกัดที่เข้มข้นที่สุดนั่นเอง

ทีนี้เมื่อเพื่อนๆสามารถเลือกระดับการบดกาแฟให้เข้ากับเครื่องชงและสไตล์ความชอบได้แล้ว
ก็อย่าลืมเลือกเมล็ดกาแฟคุณภาพดีจากบนดอย ณ บ้านปางขอนอย่าง กาแฟอะมา (AMA) กันด้วยนะคะ รับรองว่าเมื่อมีเมล็ดกาแฟดีๆ หอมๆบวกกับการชงอย่างถูกวิธี เพื่อนๆ จะต้องได้กาแฟแก้วโปรดที่วางไม่ลงแน่นอนค่ะ